วันศุกร์ที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

10 เหตุผลที่ทำให้คุณหลงรัก Note 2 (NOTE II)

 เท่าที่สังเกตผู้คนรอบข้างที่รู้จัก และเพิ่งอัพเกรดมือถือ ประมาณ 30% จะเลือกใช้ Galaxy Note 2 ของ Samsung ด้วยเหตุผลทีมันตอบโจทย์ตรงกลางระหว่างสมาร์ทโฟน และแท็บเล็ตได้อย่างลงตัว ประกอบกับกระแสข่าวการประกาศความสำเร็จของ Galaxy Note 2 ที่มียอดขายถล่มทลายกว่าห้าล้านเครื่องภายในสองเดือน ยิ่งช่วยยืนยัน และตอกย้ำข้อสังเกตข้างต้นได้เป็นอย่างดี



 ด้วยคุณสมบัติของ "Phablet" หรือลูกผสมระหว่าง "สมาร์ทโฟน" และ "แท็บเล็ต" ที่มีอยู่ใน Samsung Galaxy Note 2 ตลอดจนการออกแบบให้ตัวเครื่องบางเบาขนาดกำลังเหมาะใส่กระเป๋ากางเกงได้พอดิบพอดี แถมยังมีสไตลัสที่ช่วยให้การจดบันทึกเรื่องราวต่างๆ ทำได้อย่างสะดวกง่ายดาย และคล่องตัว การพกพา Note 2 ติดตัวจึงเหมือนกับมีทั้งสมาร์ทโฟน และแท็บเล็ต ตอบโจทย์ทั้งผู้ใช้ทั่วไปที่ไม่ต้องการพกพาอุปกรณ์สองอย่างพร้อมกัน และผู้ใช้ในกลุ่มธุรกิจ เรียกว่า เครื่องเดียวเอาอยู่ อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าคุณผู้อ่านเว็บไซต์ arip หลายๆ ท่าน อาจจะยังสงสัยว่าทำไม Galaxy Note 2 ถึงได้รับการตอบรับจากผู้ใช้ทั่วโลกมากมายขนาดนี้ ว่าแล้วเรามาไขความลับกับ 10 คุณสมบัติที่กลายเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้ใครที่ได้มีโอกาสพบเห็น หรือทดลองใช้งาน Note 2 แล้วเป็นต้องอยากได้ไปครอบครอง

1. ออกแบบสวยงามน่าใช้ จอใหญ่เต็มตา สำหรับจุุดเด่นตั้งแต่แรกเห็นก็คือ Galaxy Note 2 ได้รับการออกแบบให้มีความสวยงาม น่าหลงไหลไม่แพ้อุปกรณ์ iOS อย่าง iPhone หรือ iPad อีกทั้งยังตอบโจทย์ในเรื่องของการใช้งานได้อย่างลงตัวอีกด้วย ทั้งในส่วนของหน้าจอสัมผัสขนาดใหญ่ 5.5 นิ้ว (Note รุ่นแรก 5.2") และความบางแค่ 9.4 มม. (ไม่ถึง 1 ซม.) ทำให้ผู้ใช้ยังคงสามารถถือใช้งานได้อย่างสะดวกสบาย ส่วนใหญ่ผู้ใช้จะชอบจอแสดงผลที่สว่างสดใสใหญ่เต็มตา น่าใช้น่าสัมผัสกว่าสมาร์ทโฟนทั่วไป ซึ่งการทำหน้าจอให้ใหญ่กว่าจนเห็นความแตกต่างจากคู่แข่งอย่าง iPhone ได้อย่างชัดเจนนั้น (โดยเฉพาะเมื่อนำมาเปรียบเทียบกัน) ถือเป็นกลยุทธ์สำคัญที่ Apple เคยทำสำเร็จมาแล้ว


2. S-Pen ปากกาเขียนจอมหัศจรรย์ นอกจากจอที่ใหญ่เต็มตาน่ามองแล้ว Galaxy Note 2 ยังมาพร้อมกับอุปกรณ์เสริมการใช้งานที่ให้ประสบการณ์ใหม่ที่จะทำให้ผู้ใช้ลืมกระดาษ และปากกาไปเลย นั่นก็คือ S-Pen อุปกรณ์ที่ใช้จิ้มจอ เขียนตัวหนังสือ หรือใช้วาดรูปแทนนิ้วมือที่อาจจะใหญ่เกินกว่าจะใช้แทนหัวปากกาในการขีดเขียน และสร้างไอเดียบนหน้าจอขนาดนี้ นอกจากมันจะสะดวกในการจดบันทึกได้อย่างรวดเร็ว ลื่นไหล เนื่องจากตอบสนองได้รวดเร็วแล้ว มันยังมีลูกเล่นในการใช้งานอื่นๆ อีกด้วย จะเรียกได้ว่า มัเนป็นปากกาเขียนจอที่ฉลาด และเก่งมากๆ จนน่าอัศจรรย์ก็ดูจะไม่เป็นการพูดเกินความจริงนัก




3. สนับสนุนการทำงานหลายจอ และหลายงานพร้อมกัน นอกจากเรื่องของดีไซน์สวยงามกับอุปกรณ์เสริมฉลาดสุดๆ แล้ว Galaxy Note 2 ยังมาพร้อมกับระบบปฏิบัติการ Android 4.1 Jelly Bean ที่สนับสนุนการทำงานหลายหน้าต่าง ซึ่งหากจะให้อธิบายง่ายๆ ก็คือ การทีผู้ใช้สามารถเปิดหน้าต่างใช้งานสองแอพพลิเคชันได้พร้มกันบนหน้าจอเดียว ไม่ต้องคอยเปิดปิดสลับไปมา มันทำให้ผู้ใช้รู้สึกเหมือนกับกำลังใช้เดสก์ทอปของ Windows ที่คุ้นเคย ซึ่งการทำหลายงานได้พร้อมกัน นอกจากจะอำนวยความสะดวกสบายในการแก้ไขชิ้นงาน หรือการติดตามข้อมูลแล้ว มันยังช่วยให้งานเสร็จเร็วขึ้นด้วย ด้วยหน้าจอขนาด 5.5" กับการใช้สองหน้าต่างแอพฯ ทำงานพร้อมกัน หากจอเล็กกว่านี้คงไม่เวิร์กแน่ๆ



4. จิ๋วแต่แจ๋ว คุณสมบัตินี้อาจจะไม่ตรงทีเดียว เพราะหากจะบอกว่ามันจิ๋วก็ดูเหมือน Galaxy Note 2 ก็ไม่ได้มีขนาดเล็กสักเท่าไร แต่จะว่าใหญ่มันก็เล็กกว่าแท็บเล็ตไซส์มินิทั้งหลายเกือบครึ่่ง ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ภายในตัวเครื่องขนาดเล็กของ Galaxy Note 2 มันอัดแน่นด้วยขุมพลังประมวลผลที่เต็มเปี่ยม โดยมาพร้อมกับ"ควอด-คอร์"โพรเซสเซอร์ที่ทำงานด้วยความเร็ว 1.6GHz โอ้ว...นี่มันสมาร์ทโฟน หรือพีซีกันแน่ นอกจากนี้ยังใช้ชิปกราฟิกที่ทรงพลังอีกด้วย ซึ่งทำให้ผู้ใช้ได้รับประสบการณ์ในการใช้งานที่รวดเร็วจนรู้สึกได้ ตอบโจทย์ทั้งการใช้งาน และบันเทิงอย่างเช่น เกมส์ ได้อย่างสมบูรณ์แบบไร้ที่ติ แล้วอย่างนี้จะไม่เรียกว่าจิ๋วแต่แจ๋วได้อย่างไร



5. เข้าถึงแอพ และข้อมูลต่างๆ ในเครื่องได้อย่างง่ายดาย ความสำเร็จของอุปกรณ์ iOS ก็คือ ความเรียบง่ายของดีไซน์ และการใช้งาน ซึ่งความลับ (ที่ไม่ลับ) นี้ได้ถูกนำมาใช้กับ Galaxy Note 2 ด้วย โดยมาพร้อมกับโหมดการทำงานที่ง่ายมากสมชื่อนั่นก็คือ Easy Mode ด้วยโหมดการทำงานนี้ ผู้ใช้จะสามารถเข้าถึงฟังก์ชันสำคัญๆ อย่างเช่น รายชื่อผู้ติดต่อ และแอพต่างๆ จากที่หน้าโฮมได้โดยไม่ต้องเลื่อนหาให้เมื่อยนิ้วไถเลื่อนหน้าจอไปมาจนกว่าจะเจอ เนื่องจาก Easy Mode ของ Galaxy Note 2 จะให้คุณสามารถกำหนดคอนแท็คของคนที่ติดต่อบ่อยๆ บนหน้าจอ โฮมได้ ตลอดจนฟังก์ชัน และแอพฯ ทีใช้บ่อย (Favorite apps) แค่แตะทีเดียว ง่ายๆ มากๆ ไม่เชื่อลองดูคลิปข้างล่างนี้




6. รัน App ลื่นไหลไม่สะดุด Galaxy Note 2 สนับสนุนการรันโมบายแอพฯ ทุกตัวที่อยู่บนระบบปฎิบัติการ Android (มีให้เลือกมากกว่า 700,000 apps - ข้อมูลเมื่อเดือนตุลาคม ที่ผ่านมา) ได้อย่างสมบูรณ์ โดยเฉพาะเมื่อแอพฯ เหล่านั้นได้ทำงานบนสมาร์ทโฟนที่จอใหญ่ทีสุดในตลาด "ควอดคอร์"โพรเซสเซอร์ที่ทรงพลัง และหน่วยความจำ 2GB เรียกว่า Note 2 เปรียบเสมือนสนามเด็กเล่นสำหรับ Apps ที่สามารถแสดงอิทธิฤทธิ์ของพวกมันได้อย่างเต็มที่ ตัวอย่างแอพฯ ที่น่าสนใจก็เช่น Soonr Scribble ที่ทำงานร่วมกับ S-Pen สามารถแก้ไข ตลอดจนขีดเขียนข้อความพิเศษซ้อนทับขึ้นไปบนไฟล์เอกสารได้กว่า 35 ฟอร์แมต ซึ่งรวมถึง Word, PDF, PowerPoint และ Exel หรือใครที่ชอบรีทัชภาพ อาจจะลองดาวน์โหลดแอพฯ Touch Retouch ที่ทำให้คุณรู้สึกได้เหมือนกับใช้ Photoshop บน Galaxy Note 2 ฯลฯ ว้าว!!!

 7. มัลติมีเดียเต็มรูปแบบ นอกจากจะเป็นสมาร์ทโฟนที่แรงสุดๆ แล้ว ความสามารถในเรื่องของการเป็นแท็บเล็ต โดยเฉพาะการใช้งานในส่วนของมัลติมีเดีย ต้องยอมรับ Samsung Galaxy Note 2 มีให้อย่างล้นเหลือ ไม่ว่าจะเป็นการสนับสนุนวิดีโอฟอร์แมตต่างๆ มากมาย (ครอบคลุมฟอร์แมตยอดนิยมครบถ้วน) รวมถึงการเชื่อมบริการกับผู้ให้บริการเพลงดาวน์โหลด ตลอดจนในส่วนของกล้องถ่ายรูปความละเอียด 8 ล้านพิกเซลที่ด้านหลัง ซึ่งให้คุณเลือกชอตของภาพถ่ายที่ดีทีสุดได้ อ้อ...คุณยังสามารถป๊อปอัพวิดีโอขึ้นมาดูขณะทำงานบนแอพฯอีกตัวหนึ่งพร้อมกันได้เลยอีกด้วย เรียกได้ว่า พกพาเครื่องเดียว ตอบโจทย์ทั้งงาน และบันเทิงครบถ้วน



8. พก Galaxy Note 2 เหมือนกับมีเดสก์ทอปติดตัว สำหรับคุณสมบัติข้อนี้มาจากการทดสอบประสิทธิภาพการทำงานของ Note 2 ด้วยซอฟต์แวร์ชื่อว่า ColdFusion โดยชุดทดสอบจะเชื่อมต่อมอนิเตอร์พีซี คีย์บอร์ด และเมาส์ไร้สาย เพื่อให้มันกลายเป็นพีซีที่สมบูรณ์แบบ หลังจากนั้นรันโปรแกรมทดสอบประสิทธิภาพการทำงาน ColdFusion เพื่อดูว่า มันสามารถใช้งานแทนพีซีได้ หรือไม่? ซึ่งปรากฎว่า ผลการทดสอบความสามารถในด้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการเล่นวิดีโอพร้อมกันได้มากสุด (ทำได้ 4 คลิปก่อนระบบจะไม่สามารถทำได้) ตลอดจนการก็อปปี้ และวางภาพ รวมถึงการใช้บราวเซอร์ Galaxy Note 2 สอบผ่านการทดสอบทั้งหมด หรือพูดง่ายๆ ก็คือ มันมีประสิทธิภาพ และสมรรถนะการทำงานไม่แพ้พีซีนั่นเอง



 9. สตอเรจเพิ่มได้จนล้นทั้งในเครื่อง และบนคลาวด์ แม้ Galaxy Note 2 จะมีให้เลือกความจุของสตอเรจที่ 16GB, 32G และ 64GB แต่คุณสามารถเพิ่มได้อีกสูงสุดถึง 64GB ด้วยการ์ดหน่วยความจำ microSD สำหรับใครทีต้องการจัดเก็บเกมส์ แอพฯ เพลง และวิดีโอต่างๆ ตลอดจนไฟล์งาน แต่ถ้ายังไม่พอ Galaxy Note 2 จะให้คุณลงทะเบียนเพื่อใช้ DropBox ที่มีความจุ 50GB ได้อีกด้วย โดยหลังจากลงทะเบียนแล้ว คุณจะสามารถเข้าถึงไฟล์ข้อมูลได้จากทุกที่ ทุกเวลา และทุกเครื่องในทุกมุมโลก แถมยังแชร์ไฟล์ และโฟลเดอร์ให้กับเพื่อนๆ หรือทีมงาน เพื่อให้ทำงานร่วมกันได้อย่างง่ายดายอีกด้วย นอกจากนี้ในทางกลับกัน คุณยังสามารถใช้ Galaxy Note 2 เป็นฮาร์ดดิสก์ภายนอก สำหรับพีซี หรือแมค เพื่อฝากไฟล์ต่างๆ ได้อีกต่างหาก



 10. เพราะมันไม่ใช่ Apple ตัวเลขสถิติจากบริษัทวิจัยตลาดหลายๆ แห่ง รายงานตรงกันว่า ตลาดโมบายถูกครอบครองด้วยสองบริษัทนั่นคือ Apple และ Samsung เหตุผลง่ายๆ ก็คือ ทั้งสองบริษัทสามารถพัฒนา และส่งมอบผลิตภัณฑ์ที่น่าหลงใหลให้กับผู้บริโภคทั่วโลกได้ไม่แพ้กันจนสามารถทำกำไรจากมือถือได้อย่างถล่มทะลาย ทางเลือกของผู้ใช้สมาร์ทโฟนไฮเอ็นต์ปัจจุบันจึงดูเหมือนค่อนข้างขัดเจนว่า ถ้าไม่ไปทาง iPhone 5 ของ Apple ก็คงจะเลือกเป็น Galaxy S3 แต่ที่ฮอตที่สุดในตอนนี้ และได้รับการรีวิวจากสื่อออนไลน์ และออฟไลน์ในทางบวกเสียเป็นส่วนใหญ่ก็เห็นจะหนีไม่พ้น Samsung Galaxy Note 2 ครับ


ด้วยเหตุผลทั้งหมดทั้งมวลจากทั้งสองตอน เชื่อว่า คงจะพอใช้เป็นข้อมูลในการตัดสินใจให้กับคุณผู้อ่านได้ง่ายขึ้นนะครับ จะเลือกไปทางไหนดี ระหว่างสมาร์ทโฟนที่ทั่วโลกชื่นชมด้วยความเรียบง่าย ภายใต้ดีไซน์แบบเดิมๆ กับ Phablet (สมาร์ทโฟนไฮบริดแท็บเล็ต) อย่าง Galaxy Note 2 ที่ตอบโจทย์การใช้งานในหลายๆ ด้านได้อย่างลงตัวทั้งสมาร์ทโฟน และ แท็บเล็ต ด้วยประสิทธิภาพระดับน้องๆ เดสก์ทอปพีซี ซึ่งจุดเด่นของการนำ S-Pen มาใช้เป็นเครื่องมือในการใส่ความคิดสร้างสรรค์ผ่านลายเส้นที่วาดได้ด้วยมือราวกับขีดเขียนบนกระดาษ ยิ่งทำให้มันเหนือกว่าสมาร์ทโฟนทั่วไปหลายขุม อย่างไรก็ตาม อันนี้ก็แล้วแต่ความชอบแต่ละคนนะครับ จะเลือกทางไหนขึ้นอยู่กับความพอใจในการใช้งานของแต่ละคน



INFO: http://hitech.sanook.com

นาซา หวั่นคนฆ่าตัวตายหนีโลกแตก ปลอบประโลมเป็นเพียงเรื่องจินตนาการ


นักวิทยาศาสตร์แห่งนาซา หวั่นเยาชนฆ่าตัวตายหนีวันโลกแตก ตามความเชื่อที่มีคนตีความปฏิทินมายาผิด ใช้สังคมออนไลน์ปลอบประโลมเด็ก ชี้เป็นเพียงเรื่องจินตนาการที่สร้างกันเอง

สำนักข่าวต่างประเทศ รายงานเมื่อ 30 พ.ย. ว่า ทีมนักวิทยาศาสตร์ จากองค์การการบินและอวกาศแห่งชาติสหรัฐฯ (นาซา) ปลอบประโลมความหวาดกลัวถึงความเชื่อวันโลกาวินาศ ในช่วงสิ้นปี 2012 พร้อมทั้งเตือนให้รับมือกับข่าวลือด้านมืด เนื่องจากเกรงหว่าอาจมีเด็กและเยาวชน ที่หวาดผวาเกี่ยวกับการสูญสิ้นของโลก จนอาจก่อเหตุฆ่าตัวตายได้

ทั้งนี้ ความหวาดผวาดังกล่าว เกิดจากการตีความหมายปฏิทินชนเผ่ามายาแบบผิดๆ ของชาติตะวันตก ที่เชื่อกันเองว่าวันที่ 21 ธ.ค. นี้ เป็น “วันสิ้นโลก” เนื่องจากเป็นวันสุดบ้าน ที่ปรากฏในปฏิทินของชน้ผ่ามายา แต่ในความเป็นจริงถือเป็นการสิ้นสุดบัคตุนที่ 13 ซึ่งเป็นการนับอายุเวลาตามปฏิทินของชนเผ่ามายา แหล่งอารยธรรมเก่าแก่ที่ยังหลงเหลือหลักฐานอยู่ในเม็กซิโก โดย 1 บัคตุนเทียบเท่ากับเวลา 394 ปี ทำให้วันครบรอบบัคตุนที่ 13 เท่ากับเวลา 5,126 ปีตามการนับอายุเวลาสากลปัจจุบัน

นอกจากนี้ ความเชื่อยังมีอีกว่า อุกกาบาตอาจพุ่งชนโลกในวันดังกล่าว และทำให้ทุกสรรพสิ่งบนโลกถึงคราวดับสูญ ซึ่งนาซาอธิบายว่า ในปัจจุบันทีมนักดาราศาสตร์มีความเชี่ยวชาญและแม่นยำ ในการตรวจจับวัตถุที่เคลื่อนเข้าใกล้โลก และชี้ว่าไม่ต้องเป็นกังวลกับกรณีดังกล่าว โดย เดวิด มอร์ริสัน นักดาราชีววิทยา แห่งศูนย์วิจัยอาเมส ของนาซา กล่าวเมื่อวันที่ 28 พ.ย. ผ่านกูเกิลแฮงค์เอาท์ ว่าความเชื่อโลกแตกเป็นเพียงจินตนาการที่สร้างขึ้นมาเท่านั้นเอง




INFO :http://www.thairath.co.th/content/oversea/309873

สภาท้องถิ่นเซิร์บ เตือน แวมไพร์ ออกอาละวาด



สภาท้องถิ่นเซิร์บเตือนแวมไพร์ออกอาละวาด (ไอเอ็นเอ็น)

นายกเทศมนตรีท้องถิ่นเซอร์เบีย ประกาศเตือนให้ประชาชน ระวัง ซาวา ซาโวโนวิช แวมไพร์ชื่อดัง ออกอาละวาด โดยให้ชาวบ้านซื้อกระเทียม และติดไม้กางเขนไว้ที่หน้าบ้าน เพื่อป้องกันแวมไพร์ตนนี้

เมื่อวานนี้ (29 พฤศจิกายน) เว็บไซต์ merovee.wordpress รายงานข่าวจากการเผยแพร่ของ เมลล์ออนไลน์ ที่รายงานข่าวว่า สภาท้องถิ่นทางตะวันตกของประเทศเซอร์เบีย ประกาศเตือนชาวบ้านในหมู่บ้าน Zarozj ให้ซื้อกระเทียมและไม้กางเขนไว้ทุกบ้าน หลังสภาท้องถิ่น ออกประกาศว่า แวมไพร์ชื่อดัง ซาวา ซาวาโนวิช ออกอาละวาด ซึ่งคำเตือนนี้ มีออกมาหลังจากโรงงานร้างเก่า ๆ แห่งหนึ่ง ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นซ่อนตัวของของแวมไพร์ตนนี้ เกิดพังถล่มลงมา จนทำให้เกิดข่าวลือว่าแวมไพร์ตนนี้ กำลังจะออกอาละวาด

โดย มิโอแดรก วูเจติช นายกเทศมนตรีท้องถิ่น ออกมากล่าวว่า ชาวบ้านกำลังหวั่นกลัวกันมาก เพราะทุกคนรู้เรื่องและตำนานของแวมไพร์ตนนี้เป็นอย่างดี ซึ่งข่าวลือดังกล่าวทำให้ผู้คนพากันหวาดผวา ยิ่งเมื่อคิดดูว่าตอนนี้ แวมไพร์ ตนนี้ไม่มีที่หลบซ่อนตัว และกำลังหาถิ่นที่อยู่ใหม่และบางทีก็อาจมองหาเหยื่อใหม่ด้วย โดย นายกเทศมนตรีท้องถิ่น ยืนยันว่า สภาท้องถิ่นได้แนะนำชาวบ้านทั้งหมด นำกระเทียมและไม้กางเขนติดไว้ที่หน้าบ้าน ประตู และหน้าต่าง เพื่อป้องกันแวมไพร์ตนนี้ และนายกเทศมนตรี กล่าวทิ้งท้ายอีกว่า เรื่องนี้อาจะทำให้คนอื่น ๆ ที่ไม่อยู่ในย่านนี้ ตลก และไร้สาระ แต่สำหรับคนในย่านนี้แล้ว ทุกคนเชื่อเรื่องแวมไพร์กันอย่างมาก


INFO: kapook.com


วันอังคารที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

เสียงจากนรก : Well to hell hoax

คลิปเสียงจากนรก HELLSOUND FROM SIBERIA DIGGINGS


เรื่องราวมันเริ่มต้นขึ้นเมื่อกลุ่มนักวิทยาศาสตร์รัสเซียได้ขุดเจาะหลุมใน ไซบีเรีย (ไม่บอกสถานที่และชื่อหลุม) ลึกประมาณ 9 ไมล์ (14.5 กิโลเมตร) จู่ๆ เขาก็ได้ยินเสียงหนึ่ง เขาเลยเอาไมโครโฟนทนความร้อนหย่อนในหลุม (อุปกรณ์อื่นๆอีกตามมา) หลุมนั้นมีอุณหภูมิ 2000 องศาฟาเรตไฮด์ (1,100 °C) และ ผลออกมาปรากฏว่ามันเป็นเสียงที่พวกเขาไม่เคยได้ยินมาก่อน ว่ากันว่ามันเป็นเสียงจากนรก แม้ไม่รู้ว่าเสียงนั้นเป็นเรื่องจริงหรือหลอกลวง แต่มันได้รับความนิยมมากอินเตอร์เน็ต เสียงนี้ถูกเรียกว่า Well to Hell hoax ถูกเผยแพร่ทางอินเตอร์เน็ตในปี 1997 และออกเผยแพร่เป็นภาษาอังกฤษในปี 1989 ออกอากาศโดย Trinity Broadcasting Network





INFO: http://toptenthailand.com

เสียงปีศาจ : Anneliese Michel Exorcism

คลิปเสียง อันเนลีส มิเชล ร้องโหยหวนเหมือนปีศาจ



 Anneliese Michel อันเนลีส มิเชล เกิดเมื่อวันที่ 21 กันยายน ค.ศ. 1952 ที่หมู่บ้านเล็กๆ แห่งหนึ่งในแคว้นบาวาเรีย ทางตอนใต้ของเยอรมนี นับถือศาสนาคริสต์คาทอลิก ( Catholic ) เธอเป็นเคส ทีมีอาการที่เรียกว่า ผีเข้า ( Exorcism ) เด่นชัด และมีอาการยาวนานจนเธอเสียชีวิต โดยมีอาการพูดด้วย เป็นเสียงของ ปีศาจ และอาการแปลกๆ เป็นเป็นที่สนใจของสาธารณะชนอย่างมาก โดยชีวิตของเธอยังเคล้าโครงเรื่องของภาพยนต์ สุดสยอง เรื่อง " The Exorcism of Emily Rose " และเรื่อง " Requiem " จากชีวิตจริงของเธอ


ประวัติส่วนตัว ของ อันเนลีส มิเชล

เธอเกิดวันที่ 21 กันยายน ค.ศ. 1952
เธอเป็นบุตรของ โจเซฟ และ อันนา มิเชล
เธอตายวันที่ 1 กรกฏาคม ค.ศ. 1976 ด้วยวัย 23 ปี
เธอนับถือศาสนา คริสต์ นิกายคาธอลิก ( Catholic )
เธอมีพี่น้องรวมกัน 4 คน เป็นหญิงล้วน
ครอบครัวของเธอเป็นพวกเคร่งศาสนา ซึ่งนั้นอาจเป็นเหตุ แห่งเรื่องราวอันเลวร้ายของเธอ


 รูป ครอบครัว ของ อันเนลีส มิเชล ที่ยังแสนมีความสุข ก่อนที่เหตุการณ์ร้ายจะเกิดขึ้น


จุดกำเนิด แห่งเรื่องราวอันเลวร้าย(ผีเข้า) ของ อันเนลีส มิเชล

อันนา มิเชล เกิดตั้งท้องก่อนแต่งงาน และนั้นถือเป็นเรื่องเสื่อมเสียอย่างมากสำหรับ ชาวคาธอลิกที่เคร่งศาสนา และการลงโทษก็คือทางครอบครัวบังคับให้ อันนา มิเซล (ผู้แม่ ) แต่งชุดดำในวันแต่งงาน

1956 บุตรสาวคนโตที่เกิดจาก การท้องก่อนแต่งเกิดเสียชีวิตลง ยิ่งทำให้ อันนา(ผู้แม่) ยิ่งคิดว่าบาปกรรมได้ตามลงโทษเธอ ยิ่งทำให้อันนา(ผู้แม่) บังคับ ให้ อันเนลีส สวดมนต์ ชำระบาปอย่างสม่ำเสมอ อยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน

 รูป อันเนลีส มิเชล ก่อนมีอาการที่เรียกว่า ผีเข้า กับเพื่อนชายที่ชื่อว่า ปีเตอร์ ( Peter ) ก่อนที่จะเกิดเหตุ เธอก็คือหญิงสาวธรรมดาที่มีความรักประสาหนุ่มสาว


1968 ขณะที่ อันเนลีส มิเชล อายุได้ 16 ปี เธอเกิดอาการสั่นอย่างรุนแรงเป็นครั้งคราว พ่อแม่ของเธอนำเธอไปพบแพทย์แผนปัจจุบัน แพทย์ระบุว่าเธอเป็นโรคลมบ้าหมูชนิดร้ายแรง แพทย์ได้จ่ายยามาให้กินแต่อาการของเธอกลับยิ่งทรุดลง

1968-1973 ตลอด 5 ปีั เธอต้องเข้าออกโรงพยาบาลอย่างต่อเนื่อง แต่อาการก็ไม่ดีขึ้น ยิ่งแต่ทรุดลงทุกวัน ประกอบกับความเชื่อทางศาสนา ทางครอบครัวของเธอจึงเริ่มหันเข้าสู่วิธีทางไสยศาสตร์ เพราะคิดว่าอาการของเธอ เกิดจาก ผีเข้า



1973 เธอเริ่มมีอาการประหลาดมากขึ้น อย่างเช่น ด่า ทุบตีคนในครอบครัว ไม่กินอาหาร แต่หันไปกินพวกแมลง ถ่าน ดื่มกินฉี่ของตนเอง ฉีกเสื้อผ้า เห่าหอนราวกับ สุนัข เป็นวัน กรีดร้องไม่รู้จักเหนื่อยนานนับชั่วโมง และเมื่อสติของเธอกลับมาเธอก็จะ ซึมเศร้าอย่างรุนแรง จนเธอคิดจะฆ่าตัวตาย ยิ่งเป็นการตอกย้ำให้ทุกคนในครอบครัวเชื่อว่าเธอถูก ผีเข้า

1974 บาทหลวง เอิร์นส์ต อัลต์ ( Pastor Ernst Alt ) เป็นผู้ยื่นคำร้อง แต่ท่านบิชอปแห่งวูซบรูก เป็นครั้งที่สาม เพื่อประกอบพิธีไล่ผี จึงได้รับคำอนุญาต ให้ประกอบพิธีกรรมไล่ผี แก่ อันเนลีส มิเชล ที่ถูกระบุว่าถูก ผีเข้า

 ซ้าย บาทหลวงเอิร์นส์ต อัลต์ ( Pastor Ernst Alt ) ขวา หลวงพ่อ อาร์โนลด์ เรนซ์ ( Father Arnold Renz ) สองหลวงพ่อที่ประกอบพิธีไล่ผี ให้แก่ อันเนลีส มิเชล


1975 เดือนกันยายน บาทหลวงเอิร์นส์ต อัลต์ ( Pastor Ernst Alt ) และหลวงพ่อ อาร์โนลด์ เรนซ์ ( Father Arnold Renz ) เป็นผู้ประกอบพิธี ตามกำหนดแล้วพิธีไล่ผี หรือ ปีศาจ ร้ายนี้จะต้องทำกันสัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง ครั้งหนึ่งใช้เวลาร่วม 4 ชั่วโมง ระหว่างประกอบพิธีกรรมอาการของ อันเนลีส มิเชล จะดิ้นรนอย่างแรงจนต้องใช้ผู้ชายจับครั้งละ 3 - 4 คน บ้างครั้งต้องล่ามโซ่ไว้ เป็นที่น่าแปลกประหลาดใจว่า อาการของเธอกับดีขึ้นอย่างมากจนเธอสามารถกลับไปเรียน ไปโบสถ์ได้ตามปกติ แต่อาการก็ดีได้เพียงระยะสั้น

1976 ผลจากการเข้าพิธีไล่ผีอย่างเข้มข้น ประกอบกับร่างกายที่อ่อนแอจากการขาดน้ำและอาหาร ก็ทำให้เธอล้มป่วยด้วยโรคปอดบวม ไข้ขึ้นสูงจนเธอไม่ขยับตัวได้ แต่พิธีไล่ผีก็ยังต้องดำเนินต่อไป และการประกอบพิธีในวันที่ 30 มิถุนายน ก็เป็นครั้งสุดท้ายสำหรับการประกอบพิธีกรรม เพราะในวันรุ่งขึ้นเธอก็เสียชีวิตลงอย่างเดียวดายในห้องนอนของเธอ เมื่อพ่อแม่ของเธอมาพบเธอก็เสียชีวิตลงแล้วในเช้าวันที่ 1 กรกฏาคม 1976

 รูป ในช่วงท้ายของชีวิตของ เธอ ไม่หลงเหลือเคล้าโครงของเด็กสาวน่ารักอีกแล้ว สภาพเธอไม่ต่างจากซากศพมีชีวิตก็ไม่ปาน ซึ่งเป็นผลมาจากการไล่ผี ซึ่งมันคงนำมาซึ่งความ ทรมาน ทรกรรมอย่างแสนสาหัสแต่เธอ จวบจนวาระสุดท้ายในชีวิตของเธอ


หลังจากการเสียชีวิต เจ้าหน้าที่ชันสูตรศพ พบว่าเธอเสียชีวิตจาก อาการขาดสารอาหาร และน้ำอย่างรุนแรง ซึ่งไม่ควรเกิดขึ้นถ้ามีการเอาใจใส่หรือดูแลเธอที่ดีกว่านี้

ตลอดช่วงเวลา 10 เดือนหลังก่อนเสียชีวิต เธอต้องเข้ารับพิธีไล่ผีถึง 67 ครั้ง wowboom
จากเหตุการณ์ดังกล่าวทำหให้อัยการรัฐสั่งฟ้องร้อง พ่อ แม่ของเธอ พร้อมด้วยบาทหลวงเอิร์นส์ต อัลต์ กับหลวงพ่อโจเซฟ เรนซ์ ด้วยข้อหา กระทำการโดยประมาทอันทำให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย

1978 เดืนอกุมภาพันธ์ ได้มีการขุดศพของ อันเนลีส มิเชล ขึ้นมา แล้วฝังลงไปใหม่ มีข่าวลือว่า มีแม่ชีมาบอกว่าศพของ อันเนลีส มิเชล นั้นไม่เน่าเปื่อย จึงมีการขุดขึ้นมา แต่ทางครอบครัวอ้างว่าที่ขุดขึ้นมาเพื่อเปลี่ยนโลงเป็นโลงอย่างดีให้แก่เธอ


 รูปหลุมฝังศพของ อันเนลีส มิเชล ที่สุสาน Klingenberg Cemetery เมือง Klingenberg ประเทศเยอรมันนี


1978 เดือนมีนาคม บาทหลวงให้การแก่ศาลว่า อันเนลีส มิเชล ถูกผีเข้าโดยใช้เทปเสียงระหว่างการประกอบพิธีกรรมไล่ผี เป็นหลักฐาน และถ้อยคำในเทป บางส่วนที่หลวงพ่อระบุว่า เป็นสำเนียงแฟรงกลิช ซึ่งเป็นสำเนียงเสียงของ อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ (Adolf Hitler) ซึ่งถูกระบุว่าเป็นผีร้ายที่เข้าสิงเธอ แต่ศาลเห็นคำแก้ต่างฟังไม่ขึ้นและสั่งลงโทษจำคุก จำเลยทั้งสี่เป็นเวลา 6 เดือน แต่ให้รอลงอาญาเป็นเวลา 3 ปีแทน

รูปภาพ ระหว่างพิจารณาคดี ริมซ้าย บาทหลวงเอิร์นส์ต อัลต์ ( Pastor Ernst Alt ) กลางซ้าย หลวงพ่อ อาร์โนลด์ เรนซ์ ( Father Arnold Renz ) และ พ่อแม่ของ เธอ



INFO: http://wowboom.blogspot.com/2009/08/anneliese-michel-exorcism.html

ช่วยตัวเอง ให้ขึ้นสวรรค์ด้วยมือ



การช่วยตัวเอง ไม่ใช่สิ่งที่ถูกพูดถึงในงานวิชาการด้านเซ็กส์ และไม่ใช่สิ่งที่แม่จะพูดกับลูกสาวได้ เหมือนกับการใช้ผ้าอนามัย 

…..ผู้หญิงไทยหลายคนยังคงอาย ถ้าพูดถึงเรื่องการช่วยตัวเอง ที่ต้องเก็บเป็นความลับ เพราะถ้าหากว่าเกิดใครรู้เข้าล่ะก็ จะต้องถูกมองว่าเป็นพวกหมกมุ่นแต่มันจะเป็นอีกหนทางหนึ่ง ที่จะช่วยให้สาวๆ เสร็จสุขสมหวัง ไปถึงสวรรค์ชั้นเจ็ด ได้ง่ายและปลอดภัยที่สุดเลยล่ะค่ะ

…..แต่ เรื่องแบบนี้ก็ใช่ว่า จะมีแต่สาวไทยชาติเดียวนะคะ ที่ไม่กล้าจะเปิดเผย เรื่องถึงฝั่งฝัน ด้านนึงผู้หญิงอย่างเราก็ยอมรับว่า เป็นความรู้สึกที่เริ่ดมากๆ แต่อีกด้านกลับกลายเป็นความรู้สึก อาย จนสุดท้าย ก็ไม่มีใครกล้าพูดเรื่องนี้ออกมา

…..แม้ว่าทุกวันนี้ เรื่องเซ็กส์จะถูกเปิดกว้างมากขึ้น แต่ก็ยังมีหลายปัจจัย ที่ทำให้คนในสังคม มองว่าการช่วยตัวเอง เป็นเรื่องน่าอาย “สาวๆ หลายคน ได้ลิ้มลองรสชาติ การช่วยตัวเอง และลงเอยด้วยความสุขสม แต่…ก็ยังมีสาวๆ อีกส่วนหนึ่ง ที่ยังไม่เคยได้สัมผัสกับความรู้สึกแบบนี้”

…..คุณสาวๆ ทราบมั้ยคะว่า การช่วยตัวเองนั้น ไม่เป็นอันตรายต่อร่างกาย อารมณ์ และจิตวิญญาณหรอกนะคะ แต่จะมีความเสี่ยงในเรื่องของความสะอาดอยู่บ้างหรือถ้ารุนแรงไปหน่อย ก็อาจจะเกิดอุบัติเหตุเล็กๆ น้อยๆ ขึ้นได้ เช่น ถ้าหากว่าคุณสาวๆ ใช้เซ็กส์ทอยหรือผลไม้ที่ไม่สะอาด อาจจะเกิดการติดเชื้อได้ค่ะ เคยมีบางราย ใช้ผลไม้แล้วเกิดหักกลาง ติดค้างอยู่ด้านใน…โอ้ว !!! นี่แหละค่ะ ที่เป็นปัญหาร้ายแรงถึงขนาดต้องวิ่งโล่ไปหาหมอช่วยเอาออกให้เลยล่ะค่ะ แต่…ถ้าหากว่า คุณสาวๆ อยากจะใช้ผลไม้จริงๆ แล้วล่ะก็ มีวิธีป้องกันค่ะ ใช้คอนด้อมสวมก่อนทุกครั้งนะคะเซฟไว้ก่อนดีที่สุดค่ะ

…..โอ๊ะโอ่ คุณสาวๆ ทราบมั้ยคะว่า การช่วยตัวเอง เป็นการกายภาพบำบัดด้วยนะคะ ก็อย่างเช่น ถ้าหากว่าคุณถึง จุดสุดยอด ก็จะสามารถลดความดันโลหิตได้ และยังช่วยบรรเทาอาการต่างๆ ที่เกิดจากความตึงเครียดอีกด้วยล่ะค่ะ ผลดีต่อร่างกายก็ไม่ต่างอะไรกับการมีเซ็กส์นักหรอกค่ะไม่ว่าจะเรื่องอารมณ์ดี สมองโล่ง แถมที่สำคัญ มันก็เป็นเรื่องของเราเองล้วนๆ เลยล่ะค่ะ

…..ว่า กันว่า ผู้หญิงที่ไม่ค่อยสัมผัสลูบไล้ตัวเอง มีโอกาสถึงจุดสุดยอดพร้อมกับคนรักน้อยกว่า และผู้หญิงเหล่านี้ ก็มักจะแกล้งถึงฝั่งฝัน เวลาที่กำลังบรรเลงรักกับคนรักอยู่นั่นเองค่ะ…



INFO: http://sex.mwake.net/story/343/ขึ้นสวรรค์ได้ด้วยมือ.html

ผลดี ผลเสีย ของการช่วยตัวเอง เพศชาย






ช่วยตัวเองทำให้ "เป็นสิว" ช่วยตัวเองทำให้ "ตัวเตี้ย" ช่วยตัวเองทำให้ "ตาบอด" ช่วยตัวเองทำให้ "น้ำอสุจิหมด" สารพัดปัญหาเรื่อง " ช่วยตัวเอง " เป็นคำถามยอดฮิตของ ผู้ชายทั้งหลาย ก่อนอื่นควรรู้ก่อนว่าการ " ช่วยตัวเอง " มีทั้ง ผลดีและผลเสีย


การสำเร็จความใคร่ช่วยลดความซึมเศร้าและผ่อนคลายได้และยังช่วยสร้างความพึงพอใจในตนเอง (Hurlbert & Whittaker, 1991) การสำเร็จความใคร่ยังมีส่วนในการรักษาสัมพันธภาพ กล่าวคือ ถ้าความต้องการทางเพศของสองฝ่ายไม่เท่าเทียมกัน การสำเร็จความใคร่จึงเป็นทางออกเพื่อรักษาสมดุลระหว่างความสัมพันธ์ของทั้งสอง

วันที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2546 ทีมวิจัยจากออสเตรเลียนำโดย Graham Giles ได้เผยแพร่ผลการศึกษาเรื่องความถี่ในการสำเร็จความใคร่ช่วยลดความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งต่อมลูกหมาก และการหลั่งน้ำอสุจิจากการสำเร็จความใคร่ก่อให้เกิดประโยชน์มากกว่าหลั่งจากการร่วมเพศ เพราะการร่วมเพศอาจทำให้ได้รับโรคติดต่อซึ่งเพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็ง
    จากงานวิจัยของ Stuart Brody พบว่า ในสถานการณ์ที่ตึงเครียด คนที่ไม่เคยมีเพศสัมพันธ์จะมีความดันเลือดต่ำกว่าคนที่เคยมีเพศสัมพันธ์และสำเร็จความใคร่ด้วยตนเองมาก่อน 1 วันหรือมากกว่า (Brody, 2006)

การสำเร็จความใคร่ระหว่างผู้หญิงกับผู้ชายอาจก่อให้เกิดการตั้งครรภ์ได้ถ้าน้ำกามสัมผัสกับแคม (อวัยวะเพศ) การสำเร็จความใคร่อาจเป็นการกระจายโรคติดต่อหากมีการสัมผัสของเหลวจากร่างกาย ดังนั้น ควรหลีกเลี่ยงการสัมผัสของเหลวจากอีกฝ่ายหากยังไม่แน่ใจว่าเป็นโรคหรือไม่ วัตถุที่ใส่ไปในช่องคลอดหรือรูทวารต้องสะอาดและไม่ก่อให้เกิดการบาดเจ็บ ไม่ควรนำวัตถุใดๆใส่เข้าไปในรูทวารหรือช่องคลอดทั้งอัน หรือวัตถุที่ร้อนหรือเป็นครีบ มิฉะนั้นแล้ว อาจจะต้องทำการผ่าตัดเพื่อนำวัตถุนั้นออกมา ดิลโด้สมัยใหม่จึงมักถูกออกแบบมาให้มีความปลอดภัยในการใช้งานมากขึ้น เช่น ไม่สามารถสอดเข้าไปทั้งอันได้โดยง่าย เป็นต้น

ความเย้ายวนให้สำเร็จความใคร่อาจเป็นส่วนหนึ่งของอาการติดใจในเพศรส ซึ่งมีผลทำให้บุคคลที่มีอาการดังกล่าวเป็นบุคคลที่มีความต้องการทางเพศสูงกว่า และ/หรือ บ่อยครั้งกว่าบุคคลปกติทั่วไป

นอกจากนี้ มีการค้นพบว่า โดยพบความผิดปกติทุกกรณี 1ต่อ100คน ทั้งนี้ส่วนใหญ่สาเหตุที่ทำให้อวัยวะเพศโค้งงอนั้น มาจากการเกิดอุบัติเหตุเนื่องจากมีเพศสัมพันธ์ หรือการช่วยตัวเองอย่างรุนแรงจนทำให้เกิดการฉีกขาดตรงบริเวณปอกของเนื้อ เยื่อที่ทำให้อวัยวะเพศขยายตัว แต่ไม่ถึงกับหัก มีเพียงรอยแผล และเกิดเป็นแผลเป็น ซึ่งเป็นสาเหตุที่พบบ่อยที่สุด นอกจากนั้นมีจำนวนเล็กน้อยที่เกิดจากผลข้างเคียงจากการรับประทานยาลดความดัน


INFO: http://variety.teenee.com

ชนเผ่าพื้นเมืองในอินเดีย ปลูกสะพานต้นไม้จากภูมิปัญญา 500 ปี!


แม้โดยทั่วไป เรามักเรียกกระบวนการที่ทำให้สิ่งหนึ่งสิ่งใดได้เกิดขึ้นมาบนโลกว่า ‘การสร้าง’ แต่ในความเป็นจริงแล้วในกระบวนการสร้าง ก็มักแฝงไว้ด้วย ‘การทำลาย’ อยู่เสมอ แม้กระทั่งในสิ่งก่อสร้างที่ประกอบด้วยวัสดุธรรมชาติ เช่น ไม้ ที่ก่อนจะนำมาใช้งานเป็นวัสดุก่อสร้างได้ ต้นไม้เหล่านั้นจะต้องถูกโค่นหรือตัดเสียก่อน ซึ่งไม่ต่างอะไรกับการฆ่าและเบียดเบียนชีวิต คงจะดีไม่น้อยหากเราจะสามารถสร้างอาคารหรือสิ่งปลูกสร้าง โดยไม่ต้องทำลายชีวิตของต้นไม้เหล่านั้น และหนึ่งในตัวอย่างของสิ่งก่อสร้างจากไม้ ที่สร้างขึ้นโดยไม่เบียดเบียนชีวิตของต้นไม้ ตั้งอยู่ในป่าลึกอันห่างไกลของประเทศอินเดีย สิ่งก่อสร้างชิ้นนี้คือ สะพานข้ามลำห้วย ที่สร้างขึ้นจากต้นไม้ที่มีชีวิต

สะพานที่มีชีวิตนี้ สร้างโดยชาวเผ่ากะสิ (Khasi) ซึ่งเป็นชนเผ่าพื้นเมืองที่อาศัยอยู่ในแถบรัฐเมฆาลัย (Meghalaya) รัฐทางตะวันออกเฉียงเหนือของอินเดีย ซึ่งในปัจจุบันหนึ่งในสามของรัฐนี้ยังคงปกคลุมไปด้วยป่าไม้ เทคนิคการสร้างสะพานต้นไม้นี้ ชาวเผ่ากะสิได้รับมาจากภูมิปัญญาของบรรพบุรุษที่สั่งสมมาร่วม 500 ปี และสืบทอดกันมาแบบรุ่นต่อรุ่น สะพานในลักษณะนี้จะสร้างขึ้นจากต้นยางอินเดีย (Ficus Elastica) โดยนำไม้มาพาดระหว่าง 2 ฝั่งลำธารที่มีต้นไม้ชนิดนี้ขึ้นอยู่ จากนั้นจึงนำรากอากาศของต้นไม้พันรอบแกนไม้ที่พาด เมื่อเวลาผ่านไประยะหนึ่ง ซึ่งโดยทั่วไปแล้วจะใช้เวลาประมาณ 15 ปี รากไม้เหล่านี้จะเจริญเติบโตจนกลายเป็นสะพานในที่สุด สะพานต้นไม้นี้มีความแข็งแรงเป็นอย่างมาก สามารถรับน้ำหนักคนได้ถึง 50 คน และที่สำคัญในกระบวนการตั้งแต่เริ่มสร้างสะพานจนถึงใช้งานได้ ไม่มีการรบกวนธรรมชาติแม้แต่น้อย ไม่ต่างอะไรกับการปลูกต้นไม้ขึ้นสักต้น

สะพานที่ทำการ ‘ปลูก’ ขึ้นนี้ จึงถือเป็นสิ่งปลูกสร้างที่สะท้อนให้เห็นถึงระบบโลกทัศน์ของชาวกะสิ ที่ดำรงชีวิตร่วมกับธรรมชาติอย่างเกื้อกูล และมองสิ่งก่อสร้างไม่ต่างจากสิ่งมีชีวิตที่ต้องได้รับการปลูกและดูแลจนงอกงามขึ้นมา สิ่งก่อสร้างของชาวกะสิจึงมีความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับธรรมชาติ อย่างที่ไม่สามารถแยกออกจากกันได้











INFO: http://www.creativemove.com/architecture/tree-bridge/#ixzz2DOc36tWj

วันจันทร์ที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

ซอมบี้ ผีดิบ มีจริงหรือ?


บน โลกของเรามีเรื่องราวลึกลับเกิดขึ้นมากมาย มีหลายเรื่องที่น่าสะพรึงกลัว และไม่น่าเชื่อว่าจะเกิดขึ้นได้จริง แต่ก็ยังสร้างความหวาดหวั่นและข้อสงสัยให้กับเราได้เสมอ เช่น เรื่องราวของซอมบี้หรือศพคืนชีพที่หลาย ๆคนอาจเคยพบในนวนิยายหรือภาพยนตร์สยองขวัญบางเรื่อง จนหลาย ๆคนคิดไป

ว่าเรื่องนี้เป็นเพียงเรื่องที่แต่งขึ้นมาเท่านั้น แต่แท้จริงแล้วเรื่องซอมบี้นี้เป็นเรื่องราวที่มี

คนเชื่อถือและคิดว่ามีอยู่ จริง

ว่ากันว่าซอมบี้มีต้นกำเนิดมาจาก ประเทศเฮติ ซึ่งอยู่ในหมู่เกาะอินดิสตะวันตก ทวีปอเมริกาเหนือ ส่วนใหญ่ชาวเฮติสืบเชื้อสายมาจากทาสผิวดำชาวแอฟริกัน ตั้งแต่ศตวรรษที่17 ทาสเหล่านี้ถูกนักค้าทาสชาวฝรั่งเศส พามาจากทวีปแอฟริกา และมาใช้แรงงานในไร่อ้อย ซึ่งเป็นพืชที่ทำรายได้มากในสมัยนั้น นอกจากการสืบเชื้อสายแล้ว ยังมีลัทธิความเชื่อที่สืบทอดต่อเนื่องมาถึงปัจจุบัน โดยมีความเชื่อที่ฝังรากลึกในหมู่ชาวเฮติคือ ลัทธิวูดู



เฮติดินแดนแห่งซอมบี้



 เฮติ (Haiti)

หรือ ชื่อทางการคือ สาธารณรัฐเฮติ (Republic of Haiti) เป็นประเทศหนึ่งในทวีปอเมริกาเหนือ ตั้งอยู่บนเกาะฮิสปันโยลาใน ทะเลแคริบเบียน โดยมีเกาะเล็ก ๆ ใกล้เคียงด้วย คือ ลาโกนาฟว์ (La Gonâve) ลาตอร์ตู (La Tortue) เลกาเยอมีต (Les Cayemites) อีลาวาช (Île à Vache) ลากรองด์เก (La Grande Caye) และนาวาส (Navasse) โดยประเทศเฮติแบ่งครึ่งเกาะฮิสแปนิโอลากับสาธารณรัฐโดมินิกัน มีพื้นที่ 10,714 ตารางไมล์ (27,750 ตารางกิโลเมตร)

มีเมืองหลวงคือกรุงปอร์โตแปรงซ์

อดีต เฮติคือตกอาณานิคมของฝรั่งเศส จนประกาศเอกราชในปี พ.ศ. 2347 ใช้ชื่อประเทศว่าเฮติ ซึ่งมาจากชื่อเกาะในคำอาราวักเก่าว่า อายิตี (Ayiti) โดยถือว่าเป็นประเทศเอกราชแห่งที่ 2 ในทวีปอเมริกา (รองจากสหรัฐอเมริกา) และเป็นสาธารณรัฐเอกราชของคนผิวดำแห่งแรกของโลกอีกด้วย แต่ทั้ง ๆ ที่เก่าแก่และมีอายุยาวนาน เฮติกลับเป็นชาติที่ยากจนที่สุดในซีกโลกตะวันตก

ประ เทศไฮติขึ้นชื่อว่าเป็นประเทศที่เรียกได้ว่ามีโรคระบาดเกิดขึ้นบ่อยมาก อันเนื่องมากจากขาดหลักสุจอนามัยที่ดีพอในการดำรงชีวิต ทำให้อายุไขเฉลี่ยของประชาชนในประเทศนี้ลดลง คือมักตายก่อนวัยอันควร โดยเมื่อมีคนตายศพของผู้ตายมักนิยมเอาไปฝังในสุสานที่ตกแต่งสวยงาม เนื่องจากมีความเชื่อว่า ยิ่งสุสารมีความสวยงามมากขึ้นเท่าไร ผู้ตายยิ่งมีความสุขมากเท่านั้น

แต่มีสิ่งหนึ่งที่ญาติของผู้ตายกลัวจับใจ.................................

"นั้นคือการขโมยศพเพื่อทำซอมบี้ของสิทธิวูดู"



ซอมบี้คืออะไร ?



ซอม บี้หรือเรียกว่า"ซัมบิ" (zumbi) ..เชื่อกันว่า เป็นศพที่เดินได้ เนื่องจากเป็นร่างไร้วิญญาณที่ถูกปลุกให้ฟื้นคืนชีพอีกครั้ง ด้วยอำนาจเวทมนตร์ของนักบวชในลัทธิวูดู ลักษณะการเดินของซอมบิดูคล้ายหุ่นยนต์ที่ไร้วิญญาณ ปราศจากแววตา และจะทำตามคำสั่งของนักบวช


ซอมบี้นั้นในภาษาพื้นเมืองไฮติเขา เรียกกันอีกชื่อหนึ่งว่า "โบโกร์" (Bokor).. ซอมบี้เป็นทาสผีดิบของหมอผี หรือผู้ทรงไสยดำ ผู้ที่มีอำนาจ (เชื่อว่าเป็นอำนาจจากนรก) เรียกเอาคนตายกลับขึ้นมาจากหลุมศพ..ซอมบี้เป็นเพียงศพที่เดินได้มันกินอาหาร ได้ อาหารที่กินเป็นอาหารพิเศษที่หมอผีจัดหามาให้ มันมีลมหายใจคล้ายคน มันต้องขับถ่าย มันพูดได้ แต่ส่วนมาไม่ได้พูดภาษาคน และมันสามารถได้ยินเสียงหรือรับรู้คำสั่งของหมอผีได้แสดงว่ามันมีชีวิต แต่มันเป็นสิ่งมีชีวิตที่ปราศจากความทรงจำใด ๆ ทั้งสิ้น มันไม่รู้จักชีวิตของตัวมันเอง มันไม่มีความรำลึกของอดีตใด ๆ เกี่ยวกับตัวมันเอง มันไม่เคยเข้าใจสภาพ หรือสถานภาพใด ๆ เกี่ยวกับตัวมันเอง มันไม่รู้จักความเจ็บปวดหรือความกลัว..พูดง่าย ๆ ซอมบี้ เป็นเสมือนหุ่นยนต์ที่มีเลือดเนื้อ เหมือนเครื่องจักรชีวอย่างไงอย่างนั้นนั่นเอง

ชนเผ่าชาไฮติแทบทุกคน รู้จักความชั่วร้ายแห่งไสยดำวูดูเป็นอย่างดี และพวกเขาก็รู้จักซอมบี้ว่ามันมีจริง มันเป็นศพคืนชีพ ทาสรับใช้ของหมอผีหรือผู้มีอำนาจทางไสยดำวูดู พวกชาวบ้านธรรมดาจะสามารถแยกซอมบี้ออกจากหมู่คนธรรมดาได้ทันทีที่ได้เห็น




กล่าว กันว่า พวกซอมบี้มักจะมีท่าทางการเดินเหินไม่เหมือนคนธรรมดา การเดินของซอมบี้จะโยกเยกตัวไปมามากกว่าคนธรรมดา คล้ายกับว่ามันเป็นเครื่องจักรกลที่เดินได้ มันมีสายตาที่เหม่อลอย ดวงตา ที่ปราศจากแวดของชีวิต และยังกล่าวกันว่า ซอมบี้มีเสียงหายใจที่ดัง และมีจังหวะการสูดลมหายใจเข้าออกข้าเร็วต่างกับคนธรรมดา

ชาวบ้านธรรม ดาในไฮติโดยทั่วไปไม่มีใครกลัวซอมบี้ เพราะไม่เคยปรากฏว่า ซอมบี้ทำอันตรายได้เลย แต่ก็ไม่มีใครกล้ายุ่งเกี่ยวข้องกับซอมบี้ ถ้าเผอิญ ไปเจอมันเข้า สิ่งที่พวกเข้าทุกคนกลัวที่สุดไม่ใช่ซอมบี้ แต่พวกเขากลัวเป็นซอมบี้ กลัวว่าญาติพี่น้อง เพื่อนฝูงคนที่รู้จัก และตัวเองเมื่อตายไปแล้วจะกลายเป็นซอมบี้ พวกเขาไม่กล้ารับหน้าหรือให้การต้อนรับซอมบี้ผู้มาเยือน ไม่ว่าซอมบี้นั้นจะเคยเป็นพ่อ แม่ พี่น้อง หรือ ใครที่เคยรู้จักสนิทสนมด้วยในตอนที่ยังมีชีวิตอยู่

ในการทำพิธีฝังศพญาติพี่น้องของตน ชาวไฮติมีพิธีกรรมที่เรียกว่า "ทำให้ตายครั้งที่สอง" เพื่อป้องกันมิให้ศพกลับลุกขึ้นมาเป็นซอมบี้

แม้ แต่คนที่ยากจนไม่มีเงินจะทำพิธีศพญาติของตน ยังต้องไปนำก้อนหินขนาดใหญ่ ๆ มาทับหลุมฝังศพเพื่อป้องกันมิให้ศพญาติที่ฝังไว้ลุกกลับขึ้นมา

บาง ครั้งญาติผู้ตายต้องผลัดกันนั่งเฝ้าอยู่ปากหลุมศพ เฝ้ากัน 24 ชั่วโมง ทั้งวันทั้งคืนไม่ให้คลาดสายตา เป็นเวลานับเดือน ๆ จนกว่าจะแน่ใจว่าศพในหลุมที่ฝังไว้นั้นเน่าสลายไปหมดแล้ว เพราะกลัวว่าศพอาจคืนชีพเป็นซอมบี้กลับขึ้นมาใหม่นั่นเอง

ในพิธีฝัง ศพของผู้มีเงินหน่อย จะต้องนำสิ่งของต่าง ๆ เช่นลูกปัดหินหลากสี ด้ายสีต่าง ๆ หลายหลอด พร้อมกับเข็มเย็บผ้าหลายโหล และเมล็ดพืชเล็ก ๆ บางชนิดอีกหลายร้อยหลายพันเม็ดใส่ไว้ในโลงศพของผู้ตายด้วย สิ่งของต่าง ๆ ดังกล่าวจะต้องผ่านพิธีการปลุกเสกลงของเสียก่อนโดยผู้ทรงคุณทางไสยขาว (white magic ) วิชาลึกลับใช้เวทมนต์ในทางที่ดีทำเครื่องรางของขลังป้องกันภัยอันตรายหรือ ปลุกเสกเมตรามหานิยมฯลฯก่อนการปิดปากโลงศพ และฝังกลบไว้ในป่าช้า เชื่อกันว่า ถ้าศพคืนชีพขึ้นมามันจะไม่ลุกออกมาจากโลง เพราะมัวแต่เล่นสิ่งของเหล่านั้นจนเพลินนั้นเอง

บางครั้งมีการใส่มีด ที่ลงของลงคาถาไว้ในโลงด้วยหลายเล่ม เพื่อว่าศพคืนชีพเกิดเซ็งขึ้นมาเพราะออกจากโลงไม่ได้ จะได้ฆ่าตัวตายเป็นครั้งที่สอง นอนตายอย่างสงบอยู่ในโลงนั้น พิธีกรรมที่หนักข้อขึ้นไปอีกก็ยังมี กล่าวคือ ก่อนปิดฝาโลง จะจัดการตัดคอศพแยกใส่หีบฝังต่างหาก หรือไม่ก็เอหมุดลงคาถาตอกหน้าอกฝังไว้กับโลงเพื่อป้องกันศพคืนชีพเป็นซอมบี้ พวกไฮติไม่นิยมการเผาศพ แต่ก็มีการเผาศพอยู่เหมือนกัน เชื่อว่าการเผาศพมิได้ช่วยป้องกันซอมบี้แต่อย่างใด เพราะมีเรื่องเล่ากันว่า คนตายที่ถูกเผาไปแล้ว บางทียังกลายเป็นซอมบี้ได้ ขณะกำลังเผา ๆ อยู่ดันลุกพรวดพราดออกมาจากโลงก็มี ไอ้ตัวซอมบี้แบบนี้น่ากลัวน่าสยดสยองกว่าซอมบี้ธรรมดา ร่างกายมันดำไหม้เฟอะ เป็นศพพิการแต่ยังเดินได้

พวกหมอผีวูดู หรือ พวกจอมคาถาอาคมแห่งวูดู บางคนมีลูกสมุน- ซอมบี้ เป็นกองทัพเลยก็มี นับว่าเป็นทาสผีดิบที่สัตย์ซื่อมาก เรื่องราวต่าง ๆ เกี่ยวกับซอมบี้มีปรากฏอยู่ในบันทึกของชาวตะวันตกที่เดินทางไปอยู่ในแถบไฮติ นับตั้งแต่สมัย ล่าอาณานิคมโน้น วิลเลียม ซีบรุ๊ก ผู้จัดการ ฝ่ายผลิตและส่งออกของบริษัท ผลิตน้ำตาลจากอ้อย

(Hailian American Sugar Corporation"

เคยเขียนบันทึกไว้ว่า

"..มีพวกกรรมกรไร่อ้อยหลาย ร้อยคนเป็นคนงานอยู่ในความดูแลของหมอผีวูดู ซึ่งทำหน้าที่คุมคนงานและจัดหาคนงานมาเข้าทำงานอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย เหมือนมนุษย์จักรกล.. มีอยู่หลายสิบคนที่มีพวกญาติพี่น้องมาขอตัวกลับเพื่อนำไปฆ่าให้ตายเป็นครั้ง ที่สอง .. ทำให้เกิดปัญหามาก เพราะพวกญาติพี่น้องมาพบว่า คนงานบางคนเป็นญาติหรือ คนที่เข่ารู้จักดีซึ่งตายไปแล้ว และกลายเป็นซอมบี้อยู่ในอาณัติคาถาของหมอผีวูดู ใช่ให้มาทำงานเป็นทาสอยู่ในไร่อ้อย…"





ซอมบี้คือศพเดินได้จริงหรือ ?


ถ้า เราสังเกตพวกซอมบี้ จะพบว่า พวกซอมบี้มักจะมีท่าทางการเดินเหินไม่เหมือนคนธรรมดา การเดินของซอมบี้จะโยกเยกตัวไปมามากกว่าคนธรรมดา คล้ายกับว่ามันเป็นเครื่องจักรกลที่เดินได้ มันมีสายตาที่เหม่อลอย ดวงตา ที่ปราศจากแวดของชีวิต และยังกล่าวกันว่า ซอมบี้มีเสียงหายใจที่ดัง และมีจังหวะการสูดลมหายใจเข้าออกข้าเร็วต่างกับคนธรรมดา และสูญเสียความทรงจำ


"เมื่ออ่านพบว่ามันมีลักษณะคล้ายคนติดยาเสพย์ติดอย่างยิ่ง"



เช่นในกรณีของ "คลาอุส นารุคิส"

เรื่องของคลาอุส นารุคิส(Clairvius Narcisse) เขาเคย เสียชีวิตมาแล้ว ด้วยโรคความดันโลหิตสูงและโรคไต ในโรงพยาบาลอัลเบอร์โต ชูไบร่า แห่งเฮติ บันทึกบอกไว้ว่าเขาเสียชีวิตลงเมื่อ 2 พฤษภาคม ใน1962 เวลา 1.45 น. และแพทย์สองคนได้ยืนยันแล้วว่าเขาตายจริงๆ......แต่แล้วในปี 18 ปีต่อมา ผู้คนในหมู่บ้านเวสเทเรบ้านเกิดของคลาอุส ต่างแตกตื่น เมื่อพบคลาอุส นารุคิส ออกมาเดินเพ่นพาน เขาเล่าว่าฟื้นขึ้นมาจากความตายและถูกนำตัวไปกระท่อม เพื่อใช้ทำงานร่วมกับซอมบี้ตัวทำไร่อ้อย และเมื่อความจำของเขากลับคืนมา จนจำได้ว่าเขาคือใคร เขาจึงเดินทางกลับบ้านเกิดและ มีการยืนยันว่าเขาคือคลาอุส นารุคิสจริงๆ



INFO:  www.thainn.com, www.mthai.com

ซอมบี : wiki

ซอมบี (อังกฤษ: zombie) เป็นคำเรียกคนที่ตายไปแล้วแต่กลับมาเดินเหินได้ราวกับมีชีวิตอีกครั้งตามความเชื่อของลัทธิวูดู เรื่องราวในลัทธิวูดูนั้นกล่าวถึงซอมบีว่าถูกควบคุมด้วยเวทมนตร์ให้ทำงานใช้แรงงานให้พ่อมด แต่ภาพลักษณ์ของซอมบีในวัฒนธรรมสมัยใหม่ซึ่งปรากฏผ่านสื่อต่างๆนั้นต่างจากในลัทธิวูดูมาก โดยสาเหตุสำคัญนั้นมาจากความสำเร็จของภาพยนตร์เรื่อง Night of the Living Dead[1] ของจอร์จ โรเมโร

นักแสดงในบทบาทซอมบี


ซอมบีในลัทธิวูดู


ในลัทธิวูดูนั้น ซอมบีเป็นศพที่ถูกปลุกให้กลับมาอีกครั้งโดยพ่อมดที่เรียกว่าบอคอร์ (bokor) ซอมบีนั้นไม่มีความคิดของตนเองและจะทำงานรับใช้ตามที่เจ้านายต้องการ เชื่อกันว่าถ้าให้ซอมบีกินเกลือแล้ว ซอมบีก็จะกลับไปตายที่หลุมศพของตนอีกครั้ง

ในปีพ.ศ. 2480 โซรา เนียล เฮิร์สตัน (Zora Neale Hurston) ซึ่งกำลังศึกษาเรื่องคติชนวิทยาของประเทศเฮติได้พบกับสตรีที่ครอบครัวอ้างว่าเป็นซอมบีของเฟลิเซีย เฟลิกซ์ เมนเทอร์ ซึ่งเสียชีวิตและได้รับการฝังเมื่อสามสิบปีก่อนหน้านั้น เฮิร์สตันได้ตามสืบข่าวลือเรื่องของคนที่ถูกยาที่มีผลทางจิตเข้าไป แต่ก็ไม่สามารถหาผู้ที่ยอมให้ข้อมูลที่ชัดเจนได้ เธอเชื่อว่ารากฐานของลัทธิวูดูนั้นน่าจะเป็นแพทยศาสตร์ที่มีการใช้ยาซึ่งวิทยาศาสตร์ยังไม่รู้จักมากกว่าจะเป็นพิธีกรรม[2]

เวท ดาวิสได้เขียนถึงเรื่องซอมบีในทางแพทยศาสตร์จากประสบการณ์ที่เดินทางไปเฮติในปีพ.ศ. 2525 ไว้ในหนังสือสองเล่มคือ The Serpent and the Rainbow และ Passage of Darkness: The Ethnobiology of the Haitian Zombie ดาวิสระบุว่าซอมบีนั้นเกิดจากผงแป้งสองชนิดเข้าไปในกระแสเลือด โดยแป้งชนิดแรกคือ coup de poudre ซึ่งมีพิษที่เรียกว่า tetrodotoxin ซึ่งเป็นพิษกับระบบประสาทและพบได้ในเนื้อของปลาปักเป้า ส่วนแป้งประเภทที่สองนั้นเป็นยากล่อมประสาท เมื่อใช้รวมกันแล้ว บอคอร์จะสามารถควบคุมเหยื่อผู้เคราะห์ร้ายได้

ดาวิสบรรยายถึงกระบวนการนี้ว่า ก่อนอื่นนั้นผู้เป็นซอมบีจะอยู่ในสภาพเหมือนตาย จากนั้นก็จะตื่นขึ้นมาด้วยสภาพจิตใจที่สับสน และบอคอร์ก็จะใช้ยาและการสะกดจิตซึ่งเสริมโดยความเชื่อของเฮติให้คิดว่าตนตายไปแล้วและกลายเป็นซอมบี

ซอมบิ (zombi) ยังเป็นชื่อหนึ่งของโลอา งูดัมบาลา (Damballah) ซึ่งมีต้นกำเนิดจากแถบไนเจอร์-คองโก ลัทธิวูดูในแอฟริกาตะวันตก


ซอมบีในวัฒนธรรมสมัยนิยม


ซอมบีในมุมมองของยุคปัจจุบัน จะมองในซอมบีในแง่ลบเสียส่วนใหญ่ โดยจะมองว่า ซอมบีนั้นเป็นสิ่งมีชีวิตที่ดูน่าเวทนาดูน่าเกลียดน่ากลัว ครั้งก่อนเคยเป็นมนุษย์ผู้บริสุทธิ์ธรรมดาคนหนึ่ง แต่เมื่อถูกซอมบีตนหนึ่งกัดหรือได้รับสารพิษบางอย่าง จะทำให้บุคคลนั้นเกิดโรคประหลาดขึ้นที่สร้างความทรมานของให้แก่ตนก่อนที่จะสิ้นใจลงไป และกลับมาฟื้นเดินเหินได้อีกครั้ง และมีจุดประสงค์เดียวกันหมดของชีวิตใหม่ที่ถูกเรียกว่าซอมบีคือ โหยหาอาหารที่เป็นของสดเท่านั้น และจะชอบเกาะกลุ่มเป็นกลุ่มใหญ่ๆ พวกมันแต่ละตนจะไม่ค่อยยุ่งกับซอมบีตนอื่นๆมากนัก เว้นเสียแต่ว่า เมื่อเจออาหารมื้อสำคัญพวกมันจะต้องพึ่งพากันในการไล่เขมือบอาหารชิ้นนั้น คือสิ่งมีชีวิตที่ยังไม่ได้เป็นซอมบี ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์ หรือสัตว์เลี้ยงหรือสัตว์ป่าสิ่งมีชีวิตใดๆก็ตามที่ยังไม่เป็นซอมบี จะถูกไล่ล่าจากพวกมันจนกว่าวันสิ้นชีพของเราจะมาถึง แต่ซอมบีก็มีจุดอ่อนของมันอยู่ที่หัวสมอง เพราะการใช้ชีวิตของซอมบีในแต่ละวันนั้น จะต้องใช้สมองในการสั่งงานให้รับรู้ว่า นั่นพวกเดียวกัน นั่นคือพวกที่ต้องเขมือบ และเมื่อสมองถูกทำลาย ซอมบีก็จะถูกทำลายไปด้วย


 
อ้างอิง
  1. Smith, Neil. "Zombie maestro lays down the lore", BBC News, March 7, 2008. สืบค้นวันที่ 2009-10-01
  2. Hurston, Zora Neale. Dust Tracks on a Road. 2nd Ed. (1942: Urbana: University of Illinois Press, 1984, p. 205).



INFO: http://th.wikipedia.org/wiki/ซอมบี