วันอังคารที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2555

Body Farm – ฟาร์มศพ

    ในรัฐ Tennessee สหรัฐอเมริกา มีป่าแห่งหนึ่งซึ่งเต็มไปด้วยซากศพที่กำลังเน่าเปื่อย ผู้คนจำนวนมากเดินทางมาเพื่อสำรวจป่านี้อยู่เรื่อยๆ แต่กลับไม่มีใครรู้สึกตกใจ หรือคิดจะทำอะไรกับศพเหล่านี้ เพราะที่นี่คือ Body farm หรือ ฟาร์มศพ ซึ่งเป็นสถานที่ๆ ทิ้งศพจำนวนมากเพื่อให้นักศึกษาด้านมานุษยวิทยาได้ศึกษารูปแบบการเน่าเปื่อยของร่างกายมนุษย์ ซึ่งความรู้ที่ได้จากตรงนี้จะถูกนำไปใช้ในการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีในสาขาอื่นที่เกี่ยวข้องต่อไป

    ฟาร์มศพแห่งแรกก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ.1981 โดยนายแพทย์ William M. Bass ผู้ซึ่งเป็นศาสตราจารย์สอนวิชามานุษยวิทยาในมหาวิทยาลัย Tennessee จุดเริ่มต้นมาจากที่ในตอนนั้นข้อมูลความรู้ทางด้านการวิเคราะห์ซากศพมีอยู่น้อยมาก ทำให้เวลาที่เกิดคดีอะไรขึ้นตำรวจมักจะต้องมาขอความช่วยเหลือจากศาสตราจารย์อยู่เสมอๆ ดังนั้น ศาสตราจารย์จึงได้หาสถานที่สำหรับทิ้งศพเพื่อใช้ในศึกษาการเน่าเปื่อยของร่างกายมนุษย์ และสถานที่นี้ก็ได้เป็นแรงบันดาลใจให้กับนักเขียนที่ชื่อ Patricia Cornwall เขียนนวนิยายแนวสอบสวนเรื่อง Body farm ขึ้นมา และชื่อนี้ก็ได้กลายเป็นชื่อสำหรับเรียกสถานที่สำหรับศึกษาศพนี้ไป



    ฟาร์มศพแห่งแรกนี้เป็นป่าขนาด 10,000 ตารางเมตร ล้อมรอบด้วยรั้วลวดหนามเพื่อป้องกันคนภายนอกหลงเข้าไป ศพที่นำมาศึกษานี้มาจากทั้งผู้ที่ประสงค์จะบริจาคให้สถาบันเพื่อใช้ในการศึกษา และศพไร้ญาติ ซึ่งในปีๆ หนึ่งจะมีจำนวนมากกว่า 100 ศพ แต่จำนวนศพที่ใช้ในการศึกษาครั้งหนึ่งๆ จะอยู่ที่ประมาณ 10 - 40 ร่างเท่านั้น

    ในฟาร์มนี้ศพจะถูกวางไว้กระจัดกระตายตามพื้นที่ต่างๆ เช่น บนพื้น บนภูเขา บนพื้นซีเมนต์ ในกระเป๋า ในถุงพลาสติก ในน้ำ หรือฝังไว้ในหลุมตื้นๆ เพื่อศึกษาการเน่าเปื่อยให้สภาพแวดล้อมต่างๆ กัน (ใครหลงเข้าไปคงขวัญหนีดีฝ่อหมดแน่ๆ) ซึ่งในบางครั้งก็จะมีการจัดสภาพพิเศษตามคำขอจากทางตำรวจที่กำลังทำการสืบสวนอยู่และอยากได้ข้อมูลเฉพาะเจาะจง ผลการศึกษาของแต่ละศพเช่น สภาพศพ อัตราการเน่าเปื่อย และข้อมูลแมลงต่างๆ ที่มาอาศัยอยู่บนศพ ก็จะถูกจดบันทึกไว้อยู่เป็นระยะๆ รวมถึงเมื่อศพเน่าเปื่อยไปหมดจนเหลือแต่โครงกระดูกแล้ว ก็จะมีการบันทึกสภาพของโครงกระดูกต่อไป

    ผู้ที่ใช้งานฟาร์มศพนี้นอกจากจะเป็นนักศึกษาของมหาวิทยาลัยแล้ว บางครั้งตำรวจและ FBI ฝึกหัดก็จะเดินทางมาดูงาน หรือแม้แต่นักศึกษาที่เรียนจบไปแล้วบางครั้งก็กลับมาตามดูผลการศึกษาของตัวเองต่อ
 

    นอกเหนือจากฟาร์มศพของมหาวิทยาลัย Tennessee แล้ว ยังมี 4 แห่งทั่วประเทศที่เป็นของมหาวิทยาลัยต่างๆ ได้แก่ มหาวิทยาลัย Western Carolina, มหาวิทยาลัยรัฐ Texas, มหาวิทยาลัยรัฐ Sam Houston และ มหาวิทยาลัย California แห่ง Pennsylvania นอกจากนี้ ยังมีข้อเสนอขอเปิดฟาร์มศพอีกหลายแห่งทั่วประเทศ แต่ส่วนใหญ่และจะไม่ผ่านเพราะทุนสนับสนุนไม่เพียงพอ








INFO: http://www.everyday-readers.com

วันจันทร์ที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2555

ยาสีฟัน โบราณ ยุดอียิปต์


ยาสีฟัน สำหรับใช้ดูแลฟันและช่องปากมีใช้กันมาหลายพันปีแล้ว สูตรเก่าแก่ที่สุดที่เหลือรอดมาจนถึงปัจจุบันเป็นสูตรของชาวอียิปต์โบราณ โดยทำขึ้นมาจากสะระแหน่ (mint) แป้ง (flour) เกลือ (salt) และพริกไทย (pepper) สูตรนี้มีมาตั้งแต่คริสต์ศักราชที่ 5

INFO: สำรวจโลก

"แบบแปลน บ้านลอยน้ำ" โดยพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ

สาร อธิบดีกรมโยธาธิการและผังเมือง กระทรวงมหาดไทย

จากภาวะน้ำท่วมที่เกิดขึ้นในหลายพื้นที่ของประเทศไทย ได้ก่อให้เกิดความเสียหายเป็นอย่างมากทั้งต่อชีวิตและทรัพย์สินของผู้ประสบภัย กรมโยธาธิการและผังเมืองซึ่งมีภารกิจหลักประการหนึ่งคือการให้บริการแบบบ้านเพื่อประชาชนที่มีอยู่อย่างหลากหลายรูปแบบในระดับราคาต่างๆ กัน ได้เล็งเห็นถึงความสำคัญของบ้านที่จะสามารถป้องกันภัยดังกล่าวได้ จึงได้เริ่มทำการศึกษาเพื่อการออกแบบ จากแหล่งต่างๆ ทั้งจากในและต่างประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่บ้านท่าขนอน อำเภอกาญจนดิษฐ์ จังหวัดสุราษฎร์ธานีซึ่งยังมีบ้านลอยน้ำ ภูมิปัญญาชาวบ้าน ได้รับการอนุรักษ์ไว้ในพื้นที่

27 กันยายน พ.ศ. 2550 สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ได้เสด็จมายังกรมโยธาธิการและผังเมือง เพื่อทรงเปิดพระอนุสาวรีย์สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอเจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ เมื่อได้ทอดพระเนตรนิทรรศการแบบบ้านเพื่อประชาชนของกรมฯ แล้วได้พระราชทานพระราชดำริเกี่ยวกับ “บ้านลอยน้ำ”

กรมโยธาธิการและผังเมืองจึงได้ออกแบบบ้านหลังนี้ขึ้นโดยปรับใช้แนวคิดจาก “บ้านลอยน้ำท่าขนอน” และเรือนแพของชาวบ้านในอดีต นำมาประยุกต์ใช้กับสภาพแวดล้อมในปัจจุบัน ซึ่งในฤดูแล้งตัวบ้านจะตั้งอยู่บนพื้นดินตามปกติ แต่เมื่อมีน้ำท่วมก็จะลอยขึ้นตามระดับน้ำได้ โดยจะมีการยึดตัวบ้านไว้กับเสาหลักทั้งที่มุมเพื่อป้องกันการโคลงตัวหรือลอยไปตามกระแสน้ำ และเมื่อระดับน้ำลดลง ตัวบ้านก็จะกลับมาตั้งอยู่บนพื้นดินตามเดิม

ขนาดของบ้านลอยน้ำที่ได้ออกแบบขึ้นนี้ตั้งอยู่บนพื้นฐานของขนาดวัสดุสำเร็จรูปที่มีขายอยู่ทั่วไปในท้องตลาด เพื่อให้เป็นการใช้วัสดุที่คุ้มค่าที่สุดเท่าที่จะทำได้ซึ่งสามารถประยุกต์ใช้และทำการก่อสร้างได้ง่าย เนื่องจากมีระบบวิศวกรรมโครงสร้างเป็นรูปแบบอย่างง่าย ชาวบ้านที่มีความรู้ด้านช่างในระดับทั่วไปก็จะสามารถดำเนินการก่อสร้างได้เอง

บ้านหลังนี้มีขนาดพื้นที่รวมประมาณ 60 ตารางเมตร ซึ่งเป็นขนาดที่ไม่ใหญ่มาก เพื่อความสะดวกในการก่อสร้างและการลอยน้ำ แต่หากมีความต้องการพื้นที่เพิ่มขึ้นก็อาจเชื่อมต่อหลายหลังเข้าด้วยกัน โดยใช้สะพานทางเช ื่อมพาดระหว่างชานรอบตัวบ้าน

สำหรับราคาค่าก่อสร้างประมาณการได้ว่ากรณีดำเนินการก่อสร้างเองจะมีราคาประมาณหลังละ 719,000 บาท หากจ้างเหมาราคาประมาณหลังละ 915,000 บาทเนื่องจากต้องมีการคิดค่าดำเนินการ กำไรและภาษีด้วย

แบบบ้านลอยน้ำของกรมโยธาธิการและผังเมืองนี้ น่าจะเป็นแนวทางหนึ่งที่จะช่วยบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนที่ต้องอยู่อาศัยในพื้นที่ที่อาจต้องประสบภัยน้ำท่วมตามฤดูกาลได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้อยู่อาศัยในบริเวณเที่เป็นที่ลุ่ม โดยอาจปรับปรุงเปลี่ยนแปลงรูปแบบและพื้นที่ใช้สอยให้มีความเหมาะสมและสอดคล้องตามความต้องการที่แท้จริงของตนเองต่อไป

นายสมชาย ชุ่มรัตน์
อธิบดีกรมโยธาธิการและผังเมือง




แนวคิด   ออกแบบขึ้นโดยแนวคิดเพื่อป้องกันความเสียหายจากอุทกภัย
ตามฤดูกาล และตั้งอยู่บนพื้นดินในภาวะปกติ โดยให้บ้านทั้งหลัง
สามารถลอยสูงขึ้นได้ตามระดับน้ำที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างไรก็ตามบ้านลอยน้ำ
นี้ไม่เหมาะกับพื้นที่ที่มีน้ำไหลเชี่ยวกรากรุนแรง

ขนาดพื้นที่   ประมาณ 60 ตารางเมตรประกอบด้วยพื้นที่อยู่อาศัย 23
ตารางเมตร ส่วนทำอาหารห้องน้ำและซักล้าง รวม 37 ตารางเมตร

ราคาค่าก่อสร้าง   โดยประมาณ 719,000 บาท (กรณีปลูกสร้างเอง)
ไม่ต้องใช้ผู้รับจ้างเหมาและประมาณ 915,000 บาท (กรณีมีผู้รับจ้างเหมา)

วัสดุก่อสร้าง  ใช้วัสดุก่อสร้างพื้นฐานทั่วไปที่สามารถหาได้ง่ายในท้องตลาด
ซึ่งสามารถดัดแปลงได้ตามความเหมาะสมกับแต่ละพื้นที่ ทุ่นลอยเป็นถังน้ำมัน
ขนาด 200 ลิตร หรือถังไฟเบอร์กลาสกรณีต้องการความทนทานเพิ่มขึ้น

ระบบสุขาภิบาล  ใช้ระบบการย่อยสลายโดยมีถังบรรจุจุลินทรีย์ EM
ติดตั้งอยู่ใต้ห้องน้ำเพื่อย่อยสลายและเร่งการตกตะกอนของสิ่งปฎิกูล


รายละเอียดเพิ่มเติม พร้อมแบบบ้าน : http://www.portfolios.net/profiles/blogs/2988839:BlogPost:2136399

วันเสาร์ที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2555

ย้อนอดีตกับ Black Monday 19 ตุลาคม 1987


วันที่ 19 ตุลาคม ปี 1987 หรือเมื่อ 25 ปีก่อนหน้านี้
นักลงทุนในตลาดวันนี้บางคนยังนั่งเล่นหมากเก็บ บางคนยังเป็นวุ้น หรือบางคนก็เคยได้ยินเหตุการณ์ในตลาดหุ้น Wall street ที่เกิดขึ้นในวันนั้นมาแล้ว ถามเฮียกู (Google) แกก็มีคำตอบให้คุณมากมาย วันนี้ขอย้อนรำลึกถึงเหตุการณ์ในวันนั้นในฉบับของ Mr.Messenger นะครับ วันที่ได้ฉายาติดตัวมาว่า “Black Monday”

เหตุการณ์ในวันนั้น เป็นเหตุการณ์ที่เรียกว่า “Panic Sell” แบบต้นฉบับดั้งเดิม Original เลย เป็นเหตุการณ์ที่ตลาดหุ้น Dow Jones ลดลงวันเดียว เป็น % ที่มากที่สุดในประวัติศาสตร์ คือ -22.6%

ทำไมถึงเทขายกันมากมายขนาดนี้?
เหตุผลหลักที่คนพูดถึงว่าเป็นสาเหตุของการร่วงลงรุนแรงครั้งนั้นก็คือ “Program Trading” หรือที่รู้จักกันอีกชื่อก็คือ Algorithm Trading คือชุดคำสั่งคอมพิวเตอร์สำหรับการเสนอซื้อขายได้โดยอัตโนมัติที่นำมาใช้ ซึ่งในตอนนั้นเป็นระบบเทรดที่กำลังบูมมากๆ ทั้งกองทุนบำเหน็จบำนาญ (pension funds) กองทุนรวม (mutual funds) และ กองทุนประกันความเสี่ยง (hedge funds) ทั้งหมดต่างก็ใช้เจ้าระบบนี้ในการเทรด และแสวงหากำไร

หากดูเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ ก็ต้องบอกว่า เหมือน Algorithm Trading จะทำงานได้ดี เพราะช่วงครึ่งปีแรกของปี 1987 นั้น ตลาดหุ้นอเมริกาปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องโดยไม่ได้มีสัญญาณใดบ่งชี้ว่าราคาหุ้นจะลดลง จนสามารถวิ่งขึ้นทำสถิติ new high all time ได้ในวันที่ 25 สิงหาคม หรือเพิ่มขึ้น 43% นับตั้งแต่ต้นปี 1987 ทีเดียว และ ระบบ Algorithm Trading ส่วนใหญ่ สามารถทำกำไร และ Let Profit Run ได้ผลตอบแทนเฉลี่ยสูงกว่าตลาดเสียด้วย


แล้วเกิดอะไรขึ้นวันนั้น?
จะว่ามีมือที่มองไม่เห็น หรืออะไรก็แล้วแต่ ระบบ Algorithm Trading ถูกส่งคำสั่งด้วยคอมพิวเตอร์ ที่ไม่มีคนเข้าไปดูแล เพื่อไม่ให้เกิด Emotional และลดต้นทุนการใช้โบรกเกอร์ แต่ระบบ Algorithm Trading ไม่ได้คำนวนแรงขายอันอาจจะเกิดจากความผิดพลาดเล็กน้อย หรือเป็น Error ในจุดเล็กๆ จุดเริ่มต้นก็คือ ราคาหุ้น 1 ตัวถูกเทขายออกมา จะด้วยเหตุผลอะไรก็ไม่ทราบ และทำให้ระบบเทรดที่ตั้งขึ้น ไปส่งคำสั่งขายหุ้นตัวอื่นในตลาด และตัวอื่นในตลาด และตัวอื่นในตลาด ต่อๆกันไป จนกลายเป็น พวกกองทุนต่างๆก็เทขายตามๆกันไปอีก รวมถึงพวกดัชนีตลาด (market index) ก็ถูกขายโดยอัตโนมัติจากเครื่องคอมพิวเตอร์ของพวกนี้ และเมื่อนักลงทุนในตลาดเห็นราคาหุ้นดิ่งลงเรื่อยๆ ความกลัวก็แห่เข้ามาครอบงำตลาด โบรกเกอร์ต้องรับโทรศัพท์ฟังคำสั่งขายลูกค้าทุกรายที่โทรเข้ามา แล้วมหันตภัยก็เกิดขึ้น

จริงๆสาเหตุการเกิด Black Monday โทษไปที่ระบบเทรดคอมพิวเตอร์นี้ได้อย่างเดียวเลยหรือเปล่า?
ตามความเห็นส่วนตัว Algorithm Trading เป็นแค่ตัวเร่งให้ฟองสบู่ในตลาด ณ ช่วงนั้นแตกเร็วขึ้น เพราะหากเป็นการขายที่ไม่มีเหตุผล ราคาหุ้นควรดีดกลับขึ้นมาได้ภายในระยะสั้น แต่ Dow Jones กว่าจะกลับมา ณ จุดที่ก่อนจะเกิด Black Monday กลับใช้ระยะเวลาถึง 14 เดือนทีเดียว

แล้วสาเหตุอื่น จริงๆแล้วมีอะไร?
สาเหตุอื่นของการเกิด Black Monday  น่าจะมีอยู่ 3 ข้อด้วยกัน
         ประเด็นที่ 1. เกิดจากการปรับตัวขึ้นอย่างร้อนแรงของ Dow Jones จากระดับ 2,000 จุด และขึ้นไปถึง 2,747 จุด ภายในระยะเวลา 3 เดือน หรือเพิ่มขึ้น 43% นับจากต้นปีอย่างที่บอกไป การปรับตัวขึ้นรวดเดียวแบบนี้ เป็นใครก็ต้องนึกได้ว่า มันน่าจะมีการปรับฐานตามมาบ้าง
         ประเด็นที่ 2. อัตราเงินเฟ้อในสหรัฐ หรือ CPI ปรับตัวขึ้นมากกว่า 4% ภายในระยะเวลาอันสั้น ซึ่งเป็นสัญญาณการเร่งตัวของเศรษฐกิจที่ร้อนแรงเกินไปอยู่แล้ว แต่ผู้คนในตลาดกลับมองว่าภาวะกระทิงน่าจะยังดำเนินต่อไป เพราะจะมีการเลือกตั้งในปี 1988 พร้อมนโยบายใหม่ๆในอนาคตจนลืมตรวจสอบสภาวะปัจจุบัน ณ ตอนนั้น
         ประเด็นที่ 3. สาเหตุของเงินเฟ้อ ก็มาจากราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้น 107% จากระดับ $10.80  ในเดือน มี.ค. ปี 1987 ไปสู่ $22.40 ในเดือน ส.ค. ใครเห็นภาพแบบนี้ก็ต้องรู้ว่ามัน Bubble ชัดๆ แต่คนในตลาดตอนนั้นกลับมองแง่ดีเกินไป

สำหรับตลาดหุ้นอื่นๆทั่วโลก ก็ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์เช่นกัน ดัชนี SET Index ของไทย ราคาก็ลดลงอย่างรวดเร็วจากระดับสูงสุดที่ 472.86 จุด มาอยู่ที่ 243.97 จุด ณ วันที่ 11 ธันวาคม ปีนั้น โดยระดับดัชนีลดลงถึง 228.89 จุด หรือ 48.4% ในช่วงเวลาไม่ถึง 2 เดือน

จริงๆแล้ว เหตุการณ์คล้ายๆกับ Black Monday ก็เพิ่งเกิดขึ้นในวันที่ 6 พ.ค. 2010 วันนั้น Wall street เรียกกันว่า “Flash Crash” เรียกเป็นภาษาไทย ก็คงจะเรียกว่า ลงแบบสายฟ้าแลบ!!
เหตุการณ์ในวันนั้น นักลงทุนในตลาดเกิดความกังวลเกี่ยวกับปัญหาหนี้กรีซว่าจะซ้ำรอยวิกฤต Subprime ที่เพิ่งผ่านไปไม่ถึง 2 ปี ตลาดหุ้นเปิดมาปั๊บก็เทรดในแดนลบ จนผ่านไปครึ่งวันจากลบ 100 จุด Dow Jones ก็ลงไปถึง 300 จุด และเพียงไม่ถึง 10 นาทีหลังงจากนั้น Dow Jones ดิ่งลงไปเกือบถึง 1,000 จุด ไปทำจุดต่ำสุดที่ 9,880 จุด ก่อนเด้งจากจุดนั้นขึ้นมาปิดตลาดที่ 10,517.83 จุด หรือดีดขึ้นมากว่า 600 จุดภายใน 20 นาที แต่หายนะครั้งนั้นไม่รุนแรงเท่า Black Monday ถึงแม้นับเป็นจุดแล้ว ลงมากกว่า แต่เพราะ Dow Jones ในปี 2010 เทรดที่ระดับ 10,000 จุดแล้ว เมื่อนับเป็นเปอเซ็นต์เลยไม่แรงเท่า Black Monday ส่วนสาเหตุก็เกิดจาก Algorithm Trading ที่ต่างแห่กันเทขาย ซึ่งต้นตอก็เกิดจากหุ้น Procter & Gamble เพียงแค่ตัวเดียว ที่ทำให้ระบบเทรดส่งคำสั่งเทขายทั้งตลาดเป็นโดมิโนออกมา
และด้วยเหตุการณ์ Flash Crash ครั้งนั้น Wall street จึงเพิ่งตั้ง Circuit breakers ไว้ที่ -10% ขึ้นมา (จริงๆน่าจะตั้งไว้ตั้งนานแล้วนะเนี่ย)


เราได้เรียนรู้อะไรจาก Black Monday ในวันนั้นบ้าง?
          1. ไม่มีอะไรในโลกแน่นอน – ถึงแม้ระบบเทรดจะถูกทำ Back Test มานับครั้งไม่ถ้วน แต่มันก็แค่อ้างอิงจากสถิติย้อนหลังที่เราเชื่อว่ายิ่งยาวก็ยิ่งดี แต่ในอนาคตปัจจัยที่กระทบภาวะตลาดนั้นแตกต่างออกไปเรื่อยๆตลอดเวลา
          2. เมื่อความกลัวเข้าครอบงำ เมื่อนั้นก็หายนะ – ในช่วงแรกของการลงแรงๆ ผู้ขายไม้แรกๆมักจะเป็นนักลงทุนรายใหญ่หรือนักลงทุนสถาบันที่เก็บกำไรในระยะยาวมาได้แล้ว แต่หลังจากนั้นแรงขายมักจะผสมมาจากนักลงทุนรายย่อยซึ่งทนกับภาวะตลาดดิ่งลงไม่ได้ ทำให้สุดท้ายไปขายตรงราคาต้ำสุด แล้วมองหุ้นดีดกลับโดยคาดหวังว่ามันคงจะไม่ยั่งยืน สุดท้ายก็เกลียดหุ้นเลิกลงทุนไปโดยปริยาย
         3. Super Bull Market มันเกิดหลัง Super Bear Market ทุกครั้ง – หรือพูดอีกอย่างหนึ่ง จุดสิ้นสุดของ Bear Market ก็คือจุดเริ่มต้นของ Bull Market นั่นเอง หลังจาก Dow Jones ทำจุดต่ำสุดเมื่อปี 1987 ในเหตุการณ์ Black Monday ครั้งนั้น นั้นคือจุดเริ่มต้นของ Asia Miracle ให้ตลาดหุ้นในเอเชีย รวมถึงหุ้นไทย ทะยานขึ้นต่ออีก 10 ปี ไปจนถึงปี 1997 ทำจุดสูงสุดที่ 1,700 จุด ก่อนโดยวิกฤตต้มยำกุ้งจนเละเป็นโจ๊กกันทั้งโลก (แต่ก่อนฟองสบู่ลูกปี 2530 จะแตก ใช้เวลาถึง 10 ปีทีเดียว เห็นไหมครับ)


INFO: http://www.iammrmessenger.com

เปิดโพย 10 เมืองรถติดที่สุดในโลก "กรุงเทพฯ" รั้งอันดับ 4


กลายเป็นทอล์กออฟเดอะทาวน์ในทันที พลันที่มีชื่อ "กรุงเทพมหานคร" เมืองหลวงของประเทศไทย ในยุคการบริหารงานของรัฐบาลเพื่อไทย มี "น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร" เป็นนายกรัฐมนตรี ติดชาร์ตอันดับที่ 4 เมืองที่รถติดที่สุดในโลก

ผลพวงจากมียอดรถใหม่ที่พุ่งทะลุถึง 7.2 ล้านคัน จนล้นทะลักเขตพื้นที่ 1,568 ตารางกิโลเมตร และถนนมีอยู่อย่างจำกัด 5,400 กิโลเมตร

ปัญหาผสมโรงสารพัดทั้งการก่อสร้างรถไฟฟ้าหลายสาย ฝนตกน้ำท่วม "เผือกร้อน" ก้อนใหม่รอให้รัฐบาลเพื่อไทยแก้ไขเร่งด่วน ก่อนที่พรรคฝ่ายค้านนำไปขยายผลมาโจมตี ซึ่งพรรคเพื่อไทยเองก็ต้องยอมรับว่า รถที่ติดมาก ๆ บนท้องถนน มาจากนโยบายรถคันแรกที่หาเสียงไว้เช่นกัน

ลองมาดู 10 เมืองที่ถูกจัดอันดับว่า "รถติด" ที่สุดในโลก ที่เผยแพร่ผ่านทางเว็บไซต์ มีทั้งย่านยุโรป เอเชีย แอฟริกาใต้

อันดับ 1 ยกให้ "เม็กซิโกซิตี" เพราะระบบโครงข่ายถนนที่ซับซ้อนและที่ตั้งของเมืองอยู่ในหุบเขา กลายเป็นอุปสรรคในการเดินทาง

อันดับ 2 มหานคร "นิวยอร์ก" เกิดจากถนนมีจุดคอขวด และจำนวนประชากรที่มาก

อันดับที่ 3 "บรัสเซลส์" เนื่องจากคนนิยมใช้รถยนต์ส่วนตัวมากกว่าระบบขนส่งสาธารณะ

อันดับ 4 "มหานครกรุงเทพฯ" จากปริมาณรถยนต์บนท้องถนนที่เพิ่มขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเวลาที่รถติดมากสุด เวลาโรงเรียนเลิกช่วง 15.00 น. และเย็นช่วง 16.00 น. ที่ข้าราชการเลิกงาน

อันดับ 5 "โจฮันเนสเบิร์ก" มาจากการปล่อยสัญญาณไฟจราจรที่ไม่ดี และโครงข่ายระบบรถไฟฟ้าที่ไม่เหมาะสม

อันดับที่ 6 "มอสโก" ว่ากันว่าที่นี่ติดหนักวันละกว่า 2 ชั่วโมงครึ่ง ปัญหาหลักมาจากรถยนต์ที่เพิ่มขึ้นจากเดิมอัตราส่วนเฉลี่ย่ 60 คันต่อ 1,000 คน เป็น 350 คันต่อ 1,000 คน

อันดับ 7 "ลอสแองเจลิส" สถิติที่เปิดเผยคนเมืองนี้ใช้เวลาอยู่บนถนนถึง 485 ล้านชั่วโมง ผลพวงมาจากการพัฒนาของเมือง โดยเฉพาะร้านค้าขายของที่ผุดขึ้นราวดอกเห็ด

อันดับ 8 "ปักกิ่ง" ในยุคพฤติกรรมคนเริ่มเปลี่ยนหันมาใช้รถยนต์มากขึ้น สถิติมีรถใหม่เฉลี่ยวันละ 1,900 คัน

อันดับ 9 "นิวเดลี" จากอินเดีย เกิดจากประชากรที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องทุกปี

ปิดท้ายอันดับ 10
"กรุงวอร์ซอ" ประเทศโปแลนด์ จากปริมาณรถที่มากประมาณ 3.5 ล้านคัน และเป็นเมืองที่มีสถานที่ทำงานจำนวนมาก ยิ่งทำให้รถติดมากขึ้น


INFO: ประชาชาติธุรกิจ

ชมโฉม "ศูนย์ข้อมูล" สุดล้ำของ "กูเกิล" คลังสมองคุมโลกอินเตอร์เน็ต


กูเกิลเผยโฉมบรรยากาศภายในของศูนย์เก็บข้อมูล ซึ่งเป็นแหล่งรวบรวมข้อมูลนับล้านประเภทที่เราใช้ในการค้นหากันในปัจจุบัน ผ่านบริการกูเกิล สตรีท วิว ให้คนภายนอกได้ชมเป็นครั้งแรก เราอาจประหลาดใจต่อสิ่งที่เราเห็นในบางรูป แต่อย่าตกใจ เพราะอะไรก็เกิดขึ้นได้ที่นี่

 

  ภายในศูนย์ข้อศูนย์ขนาดมโหฬารเต็มไปด้วยเครื่องไม้เครื่องมือทันสมัย คอมพิวเตอร์และเซิร์ฟเวอร์ที่เก็บข้อมูลต่างๆที่เราใช้ในการค้นหาทั่วโลกที่ ได้จากเว็บกูเกิล  คลิปวิดีโอนับล้านชิ้น ที่เราดูกันผ่านยูทูบ รวมถึงข้อมูลอีเมล์

ศูนย์ข้อมูลเคาน์ซิล บลัฟฟ์ รัฐไอโอวา

แม้ สีสันภายในจะดูแปลกตาและน่ามหัศจรรย์ ที่เกิดจากสายไฟ สายเคเบิล ท่อน้ำ ท่อไฟ และแสงสว่างของระบบคอมพิวเตอร์อันซับซ้อนภายใน แต่ระบบภายในนั้นเป็นสิ่งที่น่ามหัศจรรย์ยิ่งกว่า ด้วยบริเวณที่กว้างขวาง ทำให้วิศวกรและเจ้าหน้าที่ ต่างต้องใช้จักรยานในการเดินทางภายในเลยทีเดียว



ปัจจุบัน กูเกิลได้ก่อสร้างศูนย์ข้อมูลแล้วกว่า 8 แห่งทั่วโลก ได้แก่ เขตเบิร์กลีย์ เคาน์ตี้ รัฐเซาธ์ แคโรไลนา, เมืองเคาน์ซิล บลัฟฟ์ รัฐไอโอวา, ดักลาส เคาน์ตี้ รัฐจอร์เจีย, มาเยส เคาน์ตี้ รัฐโอกลาโฮมา, เมืองเลอนัวร์ รัฐนอร์ธ แคโรไลนา, เมืองเดอะ ดาลเลส รัฐโอเรกอน, เมืองฮามินา ฟินแลนด์ และเมืองเซนต์ กิสเลน เบลเยี่ยม และมีแผนที่จะเปิดอีกที่เมืองกิลิคูราในชิลี ฮ่องกง สิงคโปร์ และไต้หวัน



กูเกิลเปิดเผยว่า น้อยคนที่จะได้เข้าไปชมภายในศูนย์ข้อมูล เนื่องจากต้องคำนึงถึงความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัวของข้อมูล ทำให้จำเป็นต้องมีการรักษาความปลอดภัยเข้มงวดเป็นพิเศษ และมีเพียงเจ้าหน้าที่ไม่กี่รายเท่านั้น ที่สามารถลงไปยังชั้นที่เก็บเซิร์ฟเวอร์ ซึ่งถือเป็นหัวใจของที่นี่


ศูนย์ข้อมูลเคาน์ซิล บลัฟฟ์ รัฐไอโอวา

ทั้งนี้ ศูนย์ข้อมูลถือเป็นจุดศูนย์กลางของข้อมูลทั้งหมดที่ขับเคลื่อนให้กูเกิลเดินไปข้างหน้า แม้ว่าจะไม่มีศูนย์ข้อมูลใดที่ตั้งอยู่ใกล้สำนักงานใหญ่ที่เมืองเมาน์เทนวิว ในรัฐแคลิฟอร์เนียเลยก็ตาม


ศูนย์ข้อมูลเดอะ ดาลเลส รัฐโอเรกอน

ทั้งนี้ ผู้ที่สนใจชมบรรยากาศภายในศูนย์ข้อมูล กูเกิล ก็มีให้บริการเช่นกัน โดยผ่าน กูเกิล สตรีท วิว โดยใช้คีย์เวิร์ดว่า "Google Datacenter, Lynhaven Drive, Lenoir, NC" ก็จะสามารถชมภาพภายในได้เสมือนเดินชมด้วยตัวเองเช่นกัน


ศูนย์ข้อมูลเมืองฮามินา ฟินแลนด์


ศูนย์ข้อมูลเดอะ ดาลเลส รัฐโอเรกอน






ศูนย์ข้อมูลเดอะดาลเลส รัฐโอเรกอน



ศูนย์ข้อมูลเขตเบิร์กลีย์ เคาน์ตี้ รัฐเซาธ์ แคโรไลนา


ศูนย์ข้อมูลดักกลาส เคาน์ตี้ รัฐจอร์เจีย





ศูนย์ข้อมูลเมืองเลอนัวร์ รัฐนอร์ธ แคโรไลนา


Explore a Google data center with Street View


หลักฐานมนุษย์ต่างดาวมีจริง

ข่าวจากมหาวิทยาลัย Cornell USA เมื่อ 12 พฤศจิกายน 2542 เนื่องในโอกาสครบรอบ 25 ปี ที่นักวิทยาศาสตร์ได้ส่งข้อมูลเลขฐาน 2 (ใช้ในระบบคอมพิวเตอร์) เพื่อติดต่อกับมนุษย์ต่างดาว ในปี พ.ศ. 2517 ข้อมูลที่ส่งได้พัฒนาจากหลายท่านที่ช่วยกันให้ความคิดเห็น และบุคคลที่สำคัญคือ ศ. ดร. คาล เซแกน (Professor of Astronomy and Space Sciences at Cornell, Dr. Carl Sagan) สำหรับผู้เริ่มพัฒนาสารถึงมนุษย์นอกโลกคือ ศ.ดร. แฟรงค์ เดรกค์

ในบ่ายของวันที่  16 พฤศจิกายน 2517 (1974 A.D.) ข้อมูลเลขฐาน 2 แถวละ 23 ตัว จำนวน 73 แถว ถูกส่งออกจาก Radio Telescope ของ Arecibo Observatory ที่อยู่ทางเหนือของ Puerto Rico (สนับสนุนทุนจาก National Science Foundation) ซึ่งมีความกว้างของจานถึง 300 เมตร โดยฐานจานถูกสร้างขึ้นบนอุ้มเขาในบริเวณนั้น สำหรับกำลังส่งได้จูนให้พลังส่งไปในแนวแคบมากประมาณเส้นตรง ซึ่งเทียบพลังได้ถึง 1 terawatt หรือ 1x10 ยกกำลัง 9 watt (ไม่เคยปรากฏใช้คลื่นส่งที่แรงเช่นนี้มาก่อน) ด้วยคลื่น 2380 MHz. ทิศทางถูกบังคับให้คลื่นส่งตรงไปยังกลุ่มดาว M13 ของ Hercules ซึ่งอยู่ห่างจากโลก 25,000 ปีแสง และมีดวงดาวถึง 300,000 ดวง    

27 ปีต่อมา คือ 14 สิงหาคม 2544 มนุษย์ดาวอังคารได้ตอบกลับข้อมูลมาบนเลขฐาน 2 เช่นกัน แต่เป็นในลักษณะรูปภาพบนพื้นที่นาข้าว Wheat (หรือที่รู้กันทั่วไปคือ Crop Circles) ติดกับ Chilbolton Radio Telescope, Hamshire, ประเทศอังกฤษ. ซึ่งภาพแรกเป็นการตอบข้อมูลที่นักวิทยาศาสตร์โลกส่งไป และอีกภาพเป็นหน้ามนุษยโลก ซึ่งเหมือนกับว่ามนุษย์ต่างดาวส่งสารมาให้มนุษยโลก ไม่ใช่พวกมนุษย์ต่างดาวที่อาศัยอยู่บนโลกนี้ ย้อนกลับไป 1 ปีคือในวันที่ 14 สิ่งหาคม 2543 นั้น มนุษย์ต่างดาวได้ส่งข้อมูล Crop Circle มาให้ แต่ไม่มีใครทราบว่าคืออะไร จนถึงปี 2544 ที่ตอบคำถามนักวิทยาศาสตร์บนโลกที่ส่งสารไปยังห้วงลึกของอวกาศ เราถึงเข้าใจว่าข้อมูลปี 2543 เป็นระบบจานสายอากาศของระบบส่งข้อมูลของเขา ในเวลาที่ผ่านๆ มาแล้ว มีคนทั่วไปพยายามทำเลียนแบบ Crop Circle ฉะนั้นจึงต้องคอยแยกว่าอะไรที่ไหนเป็น Crop Circle แท้หรือเทียมด้วย สำหรับเวลาที่จานบินมาสร้าง Crop Circle นั้น ผู้ที่ศึกษาและไปคอยเฝ้าดู ทราบว่าใช้เวลาไม่กี่นาที และจะทำในเวลากลางคืนโดย Crop Circle ที่เกิดขึ้นเป็นไปตามรูปแบบของวิชาคณิตศาสตร์ คือไม่ได้เกิดจากการจงใจวาดเป็นภาพ 

สำหรับข้อมูลที่ส่งไปนั้น อะไรที่นักวิทยาศาสตร์ส่งออกไปสู่ห้วงลึกของอวกาศ ขอสรุปเป็นตัวอย่างว่า เป็นการบอกถึงตัวของเรา เรามีธาตุที่สำคัญของร่างกายอยู่ 5 อย่าง แต่สำหรับมนุษย์ต่างดาวส่งบอกเรามาว่า เขามี 6 อย่าง และตัวที่เพิ่มขึ้นคือ Silicon (Si 14) ซึ่งมีความสำคัญกับเขา สำหรับ DNA นั้นเพิ่มมากขึ้นกว่าของมนุษย์ รูปร่างโดยเฉลี่ยแล้วเตี้ยกว่ามนุษยโลกคือ 100.8 ซม. หัวโต ตาโต ซึ่งนักวิทยาศาสตร์รู้จักพวกนี้ คือพวกสีเทา สำหรับประชากรมี 21.3 พันล้าน และจาก Crop Circle ในปี 2552 พวกมนุษย์ต่างดาวอยู่กันบนดาวพฤหัส ดาวอังคาร และบนโลกเรานี่เอง ซึ่งนักวิทยาศาสตร์ของ SETI (the Search for Extraterrestrial Intelligence) สถาบันนานาชาติหามนุษย์ต่างดาว ยอมรับในข้อมูลนี้ ถึงอย่างไรนักวิทยาศาสตร์ได้วิเคราะห์ทราบว่า มนุษย์ต่างดาวพยายามทำอะไรไม่ให้มนุษย์โลกตกใจ คือค่อยเป็นค่อยไป และพวกมนุษย์ต่างดาวเป็นผู้รักสันติ

สำหรับนักวิทยาศาสตร์สงสัยว่า พวกมนุษย์ดาวอังคารดักข้อมูลที่ส่งไปยังกลุ่มดาว Hercules ได้อย่างไร คำตอบคือ ไม่มีใครทราบ และทำไมพวกสีเทาถึงไม่ตอบข้อมูลกลับก่อนหน้านี้ ทำไมต้องรอตอบในปี Millennium คือ 2544 (2000 A.D.) หรือปีแห่งการเริ่มเปิดประตูเข้าสู่ยุคใหม่ (ยุคทอง หรือ Golden Age) ถ้าได้ศึกษาในเรื่องมนุษย์ต่างดาว จะเข้าใจว่ามนุษย์ต่างดาวมีเทพเจ้าองค์เดียวกับของมนุษย์ คือท้าวสักกะเทวราช ผู้เป็นใหญ่แห่งสามโลกนั่นเอง ในช่วงสำคัญยิ่งของโลกนี้จะเกิดโลกามหาวินาศขึ้น ซึ่งคำทำนายจากผู้มีญาณวิเศษทั้งหลายรวมถึงพระพุทธเจ้าของเรา นอสตราดามุส พวกมายัน เป็นต้น ได้ชี้ไปที่ปลายปี 2555 -2556(2012-2013 A.D.) เพื่อจะคัดเฉพาะคนดีมีศีลธรรมเท่านั้น ที่จะได้อยู่ต่อไป และตามพระคำภีรย์ใบเบิล พระเจ้าจะเอาพวกที่ไม่มีชื่อในสมุดของสวรรค์คือคนบาป จะเอาพวกนี้ไปลงในทะเลเพลิง ซึ่งเงินทอง ของมีค่า ความร่ำรวย ตำแหน่งต่างๆ จะช่วยใครไม่ได้

เมื่อกลางปี ปลายปี พ.ศ. 2552 มนุษย์ต่างดาวสร้าง Crop Circle แสดงผลร้ายที่จะเกิดขึ้นเนื่องจากดวงอาทิตย์ อย่างที่นาซ่าพยายามปิดๆเปิดๆข่าว แต่เราก็ต้องเห็นใจรัฐบาล ถ้าไม่เกิดโลกาวินาศ ก็จะถูกประชาชนเล่นงานเอา แต่ถ้าเกิดขึ้นล่ะ มันเป็นเรื่องพูดยาก ซึ่งทำความไม่พอใจให้ประชาชนมาก เพราะประชาชนไม่มีเวลาเตรียมตัว ถ้าสิ่งเลวร้ายเกิดขึ้น ยิ่งผู้ไม่สนใจในเรื่องเช่นนี้แล้ว จะไม่มีโอกาสรอดเลย ในปัจจุบัน ชาวคริสต์กว่า 65% มีความเชื่อว่าพระเจ้าจะล้างโลก จะรักษาคนดีให้อยู่ต่อไป ที่ประเทศนอร์เวย์ ฮอลแลนด์ ผู้คนเขาเตรียมตัว เขาไม่ปกปิดกัน เขาสร้างอุโมงค์ใต้ดิน สำรองเมล็ดพืชไว้ให้คนรุ่นหลังได้ใช้ ตอนนี้เยอร์มันสร้างชุดบ้านระบบใต้ดินขาย คนไทยส่วนมาก ทำอะไรกันอยู่ ยังหลงในวัตถุ มีแต่ผู้รู้ที่อาจรู้ไม่จริง ถ้าจะตามฝรั่งก็ขอให้ตามให้ถูก

คนเราส่วนมากเหมือนมีบาปกันมาก มองไม่เห็นว่าถ้าพิสูจน์ความจริงเรื่อง พระศรีอารย์ (Messiah) ที่ทุกๆ ศาสนากล่าวถึงตามชื่อเรียกของภาษานั้นๆ พระศรีอารย์็จะสามารถช่วยไม่ให้เกิดโลกาวินาศ และสันติสุขที่แท้จริงจะเกิดขึ้นแทน ด้วยความเชื่อผิดๆ เป็นไปตามความรู้สึกของตนโดยขาดการหาข้อเท็จจริง ทำให้คนส่วนมากมีความประมาทและลบหลู่ในเรื่องพระศรีอารย์ พระพุทธเจ้าไม่ทรงสนับสนุนให้เชื่อโดยขาดกุศลธรรม ให้พิจารณาด้วยกาลามสูตรเป็นหลัก แต่มีกี่คนที่สนใจในคำตรัสสอนของพระพุทธองค์ ทำไมถึงเป็นกันเช่นนี้ คนเรามีบาปกันมากหรืออย่างไร

ฉะนั้นทุกๆวันนี้คำทำนายของผู้เห็นเหตุการณ์ในอนาคตที่ได้เขียน เป็นคำทำนายที่เป็นจริงมากขึ้นทุกทีๆ  ผู้ทีอยู่ในความประมาท ขาดการใช้ความรู้ มีแต่ความเชื่อผิดๆ ที่ขาดเหตุผลอาจจะไม่มีโอกาสหลุดพ้นจากนรกภูมิตามที่บ่งไว้ในพระคำภีรย์

ถ้าพระศรีอารย์ได้ออกมาสอนเรื่องสันติสุขก่อนล่วงหน้าโลกาวินาศ พระศรีอารย์จะช่วยให้สิ่งเลวร้ายกลายเป็นดีได้ แต่มารพยายามสิงสู่จิตใจคนทั่วๆ ไป ไม่ให้สนใจพิสูจน์ข้อเท็จจริงเรื่องพระศรีอารย์ เหมือนที่มารได้พยายามทำลายสมเด็จพระศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้ามาแล้วในครั้งก่อนๆ 

การหาความจริงมีความผิดด้วยหรือ นอสตราดามุสเขียนคำทำนายไว้ว่า มนุุุษย์จะต้องสร้างสิ่งที่ถูกทำลายด้วยโลกาวินาศกันใหม่ไปอีกนานแสนนาน 

หลักฐานข้อเท็จจริงเรื่องมนุษย์ต่างดาวมีจริง
























http://www.telegraph.co.uk/science/space/7068765/The-search-for-aliens-should-start-on-Earth-not-outer-space-says-scientist.html

The search for aliens should start on Earth not outer space, - 25 Jan 2010

สรุปว่า จะหามนุษย์ต่างดาว ไม่ต้องไปหาไกลนอกโลก หาบนโลกเรานี่ล่ะ

The meeting at the Royal Society, which will include representatives from Nasa, the European Space Agency and the UN Office for Outer space Affairs marks the 5th anniversary of the Search for Extra-Terrestrial Intelligence (SETI) programme. Lord Rees, President of the Royal Society will also lead one of the sessions." Prof Davies said: "We need to give up the notion that ET is sending us some sort of customised message and take a new approach." ...

ในปัจจุบัน UN ตั้งประธานคณะทำงานเพื่อติดต่อกับมนุษย์ต่างดาวแล้ว

INFO: www.metteya.org