วันอังคารที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2555

Green children of Woolpit : ตำนานเด็กผิวเขียวแห่งวูลพิต

ภาพวาดจากจินตนาการ


        ระหว่างรัชสมัยอันวุ่นวายช่วงปี ค.ศ. 1135-1154 ของกษัตริย์สตีเฟ่นแห่งอังกฤษ(Stephen of England) เกิดเหตุประหลาดขึ้นที่หมู่บ้านวูลพิต ใกล้กับเมืองเบอร์รี่เซนต์เอ็ดมันส์ มณฑลซัฟโฟลค์ ขณะชาวไร่กำลังเก็บเกี่ยวพืชผล จู่ๆมีเด็กสองคนโผล่ออกมาจากคูลึกซึ่งขุดไว้เป็นกับดักหมาป่า ซึ่งเรียกว่าหลุมหมาป่าหรือ Wolf pit ที่เพี้ยนกลายมาเป็นชื่อหมู่บ้าน เด็กชายและเด็กหญิงทั้งสองมีผิวเจือสีเขียว สวมเสื้อผ้าสีแปลกๆทำจากวัสดุที่ไม่คุ้นเคย เด็กทั้งสองเดินพล่านด้วยอาการขวัญหนีไปทั่วบริเวณอยู่ครูหนึ่งก่อนถูกนำตัวไปยังหมู่บ้าน ชาวบ้านซึ่งมามุงดูไม่มีใครเข้าใจภาษาที่เด็กพูด จึงพาพวกเขาไปยังบ้านของเจ้าของที่ดิน เซอร์ริชาร์ด เดอ คาล์น (Sir Richard de Calne) ที่เมืองไวค์ส เมื่อไปถึงเด็กทั้งสองต่างร้องไห้โฮและไม่ยอมกินขนมปังหรืออาหารใดๆ อยู่นานหลายวัน จนเมื่อนำถั่วที่ฝักยังติดก้านเพราะเพิ่งเก็บเกี่ยวมาให้ เด็กน้อยผู้อดโซจึงแสดงท่าทีกระหายอยากกิน แต่ไม่ฉีกฝักกลับฉีกตรงก้านและเมื่อไม่พบอะไรก็ร้องไห้อีก หลังจากเริ่มรู้วิธีการแกะถั่วแล้ว เด็กทั้งสองก็ประทังชีวิตด้วยอาหารชนิดนี้อยู่นานหลายเดือน ก่อนจะยอมลองลิ้มรสขนมปัง
     
        ผ่านไประยะหนึ่ง เด็กชายผู้ดูเหมือนอ่อนวัยกว่าก็เริ่มมีอาการซึมเศร้า เขาล้มป่วยและตายในที่สุด ส่วนเด็กหญิงสามารถปรับตัวกับชีวิตใหม่ได้โดยเข้าพิธีศีลจุ่มตามธรรมเนียมของชาวคริสต์ ผิวพรรณของเธอเริ่มกลายจากสีเขียวเป็นสีของคนปกติ เธอเติบโตเป็นเด็กสาวสุขภาพแข็งแรง เรียนรู้ภาษาอังกฤษ หลังจากนั้นเธอก็ได้แต่งงานกับชายคนหนึ่งที่เมืองคิงสลีนน์ ในนอร์โฟล์ค...เล่าลือกันว่าเธอกลายเป็นหญิงสาว "ผู่มีพฤติกรรมฉาว คบผู้ชายเป็นเลือกหน้า"

บางแหล่งข้อมูลระบุชื่อของเธอคือ แอกเนส แบร์เร (Anes Barre) ส่วนผู้ที่เธอสมรสด้วยเป็นถึงเอกอัครราชทูฒอาวุโสของ เฮนรี่ที่ 2 และยังกล่าวด้วยว่าท่านเอิร์ลเฟอร์เรอร์ส(Earl Ferres เป็นตำแหน่งหนึ่งของขุนนางใน UK คนปัจจุบันคือ Robert Washington Shirley)...โดยสืบเชื้อสายมาจากตระกูลขั้นสูง แต่หลักฐานเรื่องนี้ไม่ชัดเจน เนื่องจากชื่อของขุนนางนามสกุล Barre ที่สามารถสืบเสาะได้ถึงยุคนั้นมีเพียงคนเดียว คือ Richard Barre อัครมหาเสนาบดีของ เฮนรี่ที่2 ริชาร์ดผู้นี้เกษียนราชการไปเป็นพระในคณะนักบวชคณะ Augastin ที่เมืองเลสเตอร์ จึงไม่น่าเป็นไปได้ว่าเขาคือสามีของ เอกเนส


Robert Washington Shirley


        เมื่อถามถึงอดีตของเธอ เด็กหญิงเล่าได้เพียงรายละเอียดคลุมเครือเกี่ยวกับสถานที่ซึ่งพวกเขาจากมา แล้วมาถึงหมู่บ้านวูลพิตได้อย่างไร เด็กหญิงเล่าว่าเธอกับเด็กชายเป็นพี่น้องกัน โดยมาจาก "ดินแดนแห่งเซนต์มาร์ติน" ที่ตกอยู่ในแดนสนธยาตลอดกาล ผู้อาศัยอยู่ในดินแดนนี้ล้วนมีผิวสีเขียวเช่นเดียวกับสีผิวของเธอ เธอไม่อาจระบุที่ตั้งชัดเจนของบ้านเกิดเธอได้ รู้แต่ว่ามีดินแดนอีกแห่งที่"สว่างโรจน์" มองเห็นอีกฟากของ "แม่น้ำสายใหญ่" ที่กั้นแยกดินแดนแห่งนั้นจากพวกเขา เธอจำได้ว่า วันหนึ่งขณะเธอกับน้องชายกำลังดูแลฝูงสัตว์ของพ่อแม่อยู่ในไร่ เมื่อตามพวกมันเข้าไปในถ้ำแห่งหนึ่ง พลันพวกเขาก็ได้ยินเสียงระฆังดังกังวาน ทั้งสองเดินฝ่าความมืดอยู่เป็นเวลานานจนกระทั่งมาถึงปากถ้ำ(กับดักหมาป่า) นัยน์ตาก็พร่ามัวเนื่องจากปะทะกับแสงจ้าอย่างฉับพลัน ทั้งสองทิ้งตัวลงนอนด้วยความมึนงงอยู่นาน ก่อนจะตกใจตื่นเพราะเสียงเซ็งแซ่ของชาวไร่ พวกเขาพยายามหนีแต่หาทางออกไม่เจอ จนกระทั่งชาวบ้านพาพวกเขาไป



 The girl said they came from a twilight world


        เบื้องหลังเรื่องเล่าพิสดารนี้มีความจริงอยู่บ้างไหม ?? หรือมันควรจะถูกจดลงในบัญชีเรื่องเล่าประหลาดมากมายของผู้บันทึกจดหมายเหตุสมัยกลางของอังกฤษ มีแหล่งข้อมูลดั้งเดินอยู่สองแห่งจาก คริสต์วรรษที่ 12 แห่งแรกคือ วิลเลียมแห่งนิวเบร์ก (William of Newburgh) มีชีวิตอยู่ในช่วง ค.ศ. 1136-1198 พระสงฆ์และนักประวัติศาสตร์แห่งเมือง ยอร์ดเชียร์ ในผลงานสำคัญของเขา Historia rerum Anglicanum ซึ่งกล่าวถึงประวัติศาสตร์ของอังกฤษตั้งแต่ปี 1066-1198 และได้เล่าเรื่องของเด็กผิวเขียวไว้ด้วย อีกแหล่งข้อมูลคือ ราล์ฟแห่งคอกกีแชล (Ralph of Coggeshall) ผู้เป็นเจ้าอาวาสในอารามคอกกีแชล เมือง เอสเซ็กซ์ ...เรื่องเล่าเกี่ยวกับเด็กผิวเขียวของเขาปรากฏอยู่ใน บันทึกเหตุการณ์ของอังกฤษ Chronicon Anglicanum ซึ่งเขียนไว้เมื่อปี 1187-1224

        จากแหล่งข้อมูลทั้งสองข้างต้น ราล์ฟแห่งคอกกีแชลผู้อาศัยอยู่ในเมือง เอสเซ็กซ์ซึ่งเป็นเมืองที่อยู่ใกล้กับซัฟโฟลค์ (หมู่บ้านวูลพิต) น่าจะเป็นผู้มีโอกาศได้พบปะกับผู้อยู่ในเหตุการณ์โดยตรง เพราะเขาได้กล่าวในบันทึกว่าได้ยินเรื่องเล่านี้อยู่บ่อยครั้งจากเซอร์ริชาร์ดเอง(เจ้าของที่ดินที่รับเด็กเขียวมาเลี้ยง) ซึ่งแอกเนสทำงานเป็นคนรับใช้ของเขา ...ต่างกับของวิลเลียมแห่งนิวเบิร์ก ผู้อาศัยอยู่ในโบสถ์แห่งยอร์คเชียร์ซึ่งอยู่ไกลจากจุดเกิดเหตุมาก ดังนั้นจึงไม่น่าใช่ข้อมูลปฐมภูมิ แต่เป็นการอ้างอิงจากแหล่งข้อมูลร่วมสมัย เห็นได้จากคำกล่าวว่า "ข้าพเจ้าชั่งใจไม่ถูกกับพยานมากมาย ที่น่ารับฟังด้วยกันทุกฝ่าย"

        เรื่องราวของเด็กผิวเขียวยังคงประทับอยู่ในใจของผู้คนมาตลอดจนถึงประวัติศาสตร์ในชั้นหลัง ดังปรากฏมีการบันทึกอยู่ใน กายวิภาคแห่งความขื่นขม (The Anatomy of Melancholy) ของ Robert Burton ซึ่งเขียนเมื่อปี 1621 และอยู่ในคำบรรยายตอนหนึ่งที่อ้างอิงจากแหล่งข้อมูลศตวรรษที่ 12 ในหนังสือ The Fairy Mythology ของ Thomas Keightley


 ภาพวาดเด็กผิวเขียวของชาวสเปน


        นอกจากนี้ยังมีเหตุการณ์ที่กล่าวกันว่าเป็นการพบเห็นเด็กผิวเขียวครั้งที่สองในสถานที่ที่เรียกว่า บันโฆส (Banjos) ในประเทศสเปน เมื่อเดิอนสิงหาคม ปี 1887 อย่างไรก็ดีรายละเอียดของเหตุการณ์นี้แทบจะเหมือนที่วูลพิตทุกประการ โดยเรื่องเล่านี้ก็ดูเหมือนจะมาจากหนังสือ ลิขิตประหลาดจากสวรรค์ (Strange Destinies) ของ จอห์น แม็คลิน (Jhon Macklin) ตีพิมพ์เมื่อปี 1965 แล้วเอามาแต่งเรื่องใหม่ให้เกิดในปี 1887 ความจริงก็คือไม่มีสถานที่ที่ชื่อ บันโฆสในสเปน ส่วนเนื้อหาก็เป็นการนำเอาเรืองเก่าในศตวรรษที่12 ของอังกฤษมาเล่าใหม่เท่านั้น

        ในบรรดาคำอธิบายอันหลากหลายต่อปริศนาเด็กผิวเขียวนี้ ข้อเสนอแบบสุดกู่สุดโต่งคือ เด็กทั้งสองคนมาจากโลกใต้พิภพ หากด้วยเหตุผลใดไม่ทราบ อาจจะก้าวทะลุช่องทางสักแห่งจากมิติคู่ขนาน หรือเด็กคู่นี้เป็นมนุษย์ต่างดาวซึ่งบังเอิญพลัดมาบนโลก ทฤษฎีหลังนี้มีผู้สนับสนุนคือ  นักดาราศาสตร์ชาวสก็อต ดันแคน ลูนัน (Ducan Lunan) เขาเสนอว่าเด็กสองคนนี้คือมนุษย์ต่างดาวผู้ถูกส่งมายังโลกจากดาวเคาระห์ดวงหนึ่งเนื่องจากความผิดพลาดของเครื่องส่งสสารทำงานขัดข้อง




        เรื่องเด็กผิวเขียวยังถูกนำมาผูกโยงกับนิทานพื้นบ้านเรื่องหนึ่งซึ่งตีพิมพ์ครั้งแรกในภาษานอร์วิชปี 1595 เป็นไปได้ว่าฉากเหตุการณ์ในนิทานเรื่องนี้อยู่ในป่าแวย์แลนด์วูด ซึ่งอยู่ใกล้กับป่าเธ็ตฟอร์ดอันเป็นพรมแดนระหว่าง นอร์โฟล์คกับซัฟโฟล์ค ...นิทานมีอยู่ว่า ท่านเอิร์ลชาวนอร์โฟล์ค ในวัยกลางคน มีหลานสองคน เป็นเด็กชายวัยสามขวบกับน้องสาว ท่านเอิร์ลผู้เป็นลุงและผู้จัดการมรดกของเด้กทั้งสอง หวังฮุบสมบัติด้วยการกำจัดเด็กทั้งสองนี้ จึงจ้างวานชายสองคนให้พาหลานของตนเข้าป่าและฆ่าทิ้งเสีย ทว่ามือสังหารทำงานไม่ลุล่วง จึงทิ้งหลานของเอิร์ลไว้ในป่าเวย์แลนด์วูด จนในที่สุดเด็กน้อยทั้งสองก็สิ้นใจตายเนื่องจากขาดอาหารและปอดบวมเพราะความหนาว ต่อมามีผู้ดัดแปลงนิทานเรื่องนี้โดยเปลี่ยนสถานที่เป็นป่าวูลพิตซึ่งอยู่รอบนอกหมู่บ้านวูลพิต(อันเป็นสถานที่เกิดเหตุดั้งเดิม) เนื้อเรื่องเปลี่ยนเป็น ให้เด้กทั้งสองรอดชีวิตจากการวางยาพิษจากสารหนู ก่อนมาโผล่ในป่าละเมาะวูลพิตจนกระทั่งชาวไร่มาพบเจอ จากเรื่องเล่าฉบับนี้ ทำให้มีผู้เสนอว่าเป็นเพราะสารหนู จึงทำให้เด็กมีผิวสีเขียว แต่ความเป็นไปได้ว่าทั้งสองอาจเป็นเด็กในป่าที่มีตัวตนจริงในศตวรรษที่ 12 จนกลายมาเป็นต้นเค้าของนิทานพื้นบ้านนี้ยังไม่ควรถูกมองข้ามไปเสียทั้งหมด



สมมติฐานที่น่าเชื่อถือมากที่สุด  


Thetford Forest of woolpit
       

          คำอธิบายเรื่องเด็กผิวเขียวซึ่งได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางที่สุดในขณะนี้เป็นของ Paul Harris ทฤษฎีคร่าวๆจาก Fortean Studies หนังสือของเขาที่ตีพิมพ์เมื่อปี 1998 เป็นดังนี้...ประการแรก  วันเวลาที่เกิดเหตุการณ์ควรเลื่อนออกไปเป็นปี 1173 คือจากรัชสมัยของกษัตริย์สตีเฟ่น เป็นรัชสมัยต่อมาคือเฮนรี่ที่ 2 ช่วงเวลาก่อนหน้านั้นตั้งแต่ ศตวรรษที่ 11 เป็นต้นมา มีกระแสการอพยพอย่างต่อเนื่องของช่างทอผ้าและพ่อค้าชาวเฟลมิช(ชาวแบลเยียมเหนือ)เข้ามายังอังกฤษ แต่เมื่อเฮนรี่ที่สองขึ้นครองราชย์ ผู้อพยพเหล่านี้ถูกกวาดล้างก่อนลงเอยด้วยสงคราที่ฟอร์นแฮม ในเมืองซัฟโฟล์คเมื่อปี 1173 ผลคือชาวเฟลมิชหลายพันชีวิตถูกสังหาร
        
         แฮริสตั้งสมมติฐานว่าเด็กทั้งสองนี้ก็คือชาวเฟลมิช นั่นเอง !!...เป็นเด็กที่อาจอาศัยอยู่ในละแวกใกล้เคียงกับหมู่บ้านฟอร์แฮมเซนต์มารติน อันเป็นสถานที่ที่ถูกเอ่ยถึงในเรื่องว่าคือ "ดินแดนแห่งเซนต์มาร์ติน" หมู่บ้านนี้ตั้งอยู่ห่างจากวูลพิตไปเพียงไม่กี่ไมล์ ถูกคั่นกลางด้วยแม่น้ำลาร์ค ซึ่งเป็นไปได้ว่าคือ "แม่น้ำสายใหญ่" ที่เด็กหญิงกล่าวถึงนั่นเอง หลังจากพ่อแม่ถูกสังหารหรือพลัดพรากจากกัน เด็กทั้งสองก็หลบหนีเข้าสู่เขตรกทึบของป่าเธ็ตฟอร์ด

         แฮริสเสนอว่า หากเด็กทั้งสองยังคงซ่อนตัวอยู่ในป่าสักระยะโดยไม่มีอาหารลงท้องเลย ก็อาจกลายเป็นโรคคลอโรซิส Chlorosis หรือ โรคไข้เขียว(Green sickness) เป็นอาการป่วยที่เกิดจากการขาดเม็ดเลือดแดงจนทำให้ผู้ป่วยมีผิวออกสีเขียว....เพราะเหตุนี้เองจึงทำให้เด็กมีผิวสีเขียว แฮริสยังเชื่ออีกว่าเด็กสองคนนี้เดินตามเสียงของระฆังโบสถ์จากเมืองเบอร์รี่เซนต์เอ้ดมันส์จนพลัดหลง เดินลงไปในอุโมงค์ของเหมืองใต้ดินไกร์มสเกรฟ (Grimes Grave) อันเหมืองหินเหล็กไฟที่มีอายุย้อนหลังไปมากกว่า 4,000 ปี เด็กทั้งสองเดินไปตามอุโมงค์นี้จนมาโผล่ตรงหมู่บ้านวูลพิตสถานที่ตรงนี้เองที่เด็กท่าทางตื่นกลัวสับสนและหิวโหย อีกทั้งสวมใสเสื้อผ้าแปลกตา แถมพูดภาษาเฟลมิช กลายเป็นตัวประหลาดสำหรับชาวบ้าน ผู้ไม่เคยพบเคยเห็นชาวเฟลมิชมาก่อน


เหมืองใต้ดิน Grimes Grave อาจเป็นอุโมงค์ที่พี่น้องเด็กผิวเขียวใช้เดินทางมาจนถึงหมู่บ้านวูลพิต


         แน่นอนว่าสมตติฐานอันเฉียบคมของแฮริสให้คำตอบที่สมเหตุสมผลต่อปริศนาลี้ลับของหมู่บ้านวูลพิตได้ แต่ว่าเมื่อลงลึกในรายละเอียดจริงๆ ทฤษฎีสองพี่น้องเด็กกำพร้าเฟลมิชที่หนีภัยสงครามนี้ก็ยังไม่อาจตอบคำถามอยู่หลายข้อ กล่าวคือ ทันทีที่กษัตริย์เฮนรี่ที่ 2 ขึ้นครองอำนาจพระองค์ก็ทรงตัดสินพระทัยขับพวกทหารรับจ้างชาวเฟลมิชซึ่งก่อนหน้านี้เข้ามารับใช้กษัตริย์สตีเฟ่น...ทรงขับไล่ออกจากประเทศ แต่การกระทำนี้ไม่น่าจะมีผลกระทบใหญ่หลวงต่อช่างทอผ้าและพ่อค้าชาวเฟลมิชผู้อาศัยอยู่ในประเทศนี้มาหลายชั่วคน...แต่ก็ไม่มีใครรู้ประวัติศาสตร์ จึงไม่มีผลต่อสมมติฐานของแฮริสมากนัก

         อีกอย่างแฮริสยังสมมติฐานอีกว่า ในสงครามกลางเมือง ศึกฟอร์นแฮม 1173 ผู้ถูกสังหารล้มตายเป็นจำนวนมากก็คือ ทหารรับจ้างเฟลมิชนี่เอง โดยทหารเหล่านี้ถูกจ้างมารบกับกองทัพของกษัตริย์เฮนรี่ที่ 2 เคียงข้างกับอัศวินผู้ก่อการกบฏซึ่งก็ถูกปลิดชีวิตไปมากมายในสงครามเช่นกัน คงเป็นเรื่องยากถ้าทหารเหล่านี้จะพาลูกเมียมาด้วย หลังจากถูกตีพ่าย ทหารเฟลมิชเดนตายก็กระจัดกระจายไปทั่วตามชนบทเมืองอื่นๆ หลายคนถูกชาวบ้านทำร้ายและฆ่าทิ้งแน่นอนว่าเจ้าของที่ดินอย่าง ริชาร์ด เดอ คาล์น หรือใครสักคนในครอบครับหรืออาคันตุกะของเขาน่าจะได้รับการศึกษามามากพอจะรู้ภาษาที่เด็กพูดนั่นคือ ภาษาเฟลมิช เพราะในสมัยนั้นคนเฟลมิชคงพอมีให้พบเห็นอยู่ทั่วไปทางภาคตะวันออกของอังกฤษ


        

         ขอสันนิษฐานของแฮริสที่ว่าขณะเด็กซ่อนตัวอยู่ในป่าเธ็ตฟอร์ดแล้วได้ยินเสียงระฆังโบสถ์จากเมืองเบอรี่เซนต์เอ็ดมันส์ จึงเดินตามเสียงไปตามอุโมงค์ใต้ดินจนมาถึงหมู่บ้านวูลพิต ก็ยังมีปัญหาเรื่องระยะทางประการแรก เมืองเบอรี่เซนต์เอ้ดมันดส์อยู่ห่างจากป่าเธ็ตฟอร์ดถึง 25 ไมล์ ฉะนั้นเด็กคงไม่สามรถได้ยินเสียงระฆังโบสถ์จากระยะไกลขนาดนั้นแน่ นอดจากนี้เหมืองหินเหล็กไฟจากถูกจำกัดอยู่ในเขตป่าเธ็ตฟอร์ดเท่านั้น ไม่มีอุโมงค์ใต้ดินไปถึงหมู่บ้านวูลพิต(แต่เวลามันก็ผ่านมานานทางที่เด็กทั้งสองก็อาจจะไม่มีในปัจจุบัน) หรือถ้าหากมีจริงระยะทางจากป่าไปยังหมู่บ้านก็เกือบ 32 ไมล์ ซึ่งไกลเกินกว่าเด็กอดโซสองคนจะเดินได้ถึง หรือแม้เด็กผิวเขียวจะมาจากฟอร์นแฮมเซนต์มาร์ตินจริง ระยะทางเดินก็ยังเป็น 10 ไมล์ ส่วนแม่น้ำลาร์คที่ถูกอ้างว่าคือ "แม่น้ำสายใหญ่" ตามถ้อยคำของเด็กหญิงก็น่าจะอยู่ไกลเกินเข้าข่าพิจารณา (ทั้งนี้แล้วแต่ความคิดส่วนบุคคลของผู้อ่าน)


เสียงระฆังจากโบสถ์ที่สองพี่น้องได้ยิน


         เรื่องเล่าของหมู่บ้านวูลพิตยังมีอีกหลายมิติที่พบได้ในความเชื่อท้องถิ่นของอังกฤษ บางคนมองว่าเด็กผิวเขียวคือบุคลาธอษฐานแทนธรรมชาติ ในลักษณะคล้ายคลึงกับผีป่ากรีนแมน(Jack in the Green) ตามคติพื้นบ้านของอังกฤษ หรือกระทั่งอัศวินเขียวในตำนานกษัตริย์อาร์เธอร์...เด็กสองคนนี้อาจเป็นพวกเอลฟ์ หรือพวกรุขเทวดา(หรือเอเลี่ยนที่อยู่บนโลกมาก่อนมนุษย์ เป็นผู้ทรงภูมิ จขกท.) ซึ่งคนพื้นบ้านในหลายประเทศเชื่อว่ามีจริง จนเมื่อหนึ่งหรือสองศตวรรษมานี้เองความเชื่อดังกล่าวเกี่ยวกับพกวเอล์ฟจึงเริ่มรางเลืองไป แต่หากเรื่องเล่าเด็กผิวเขียวเป็นเพียงนิทานภูตไพร กับนับเป็นการหักมุมแบบไม่คาดคิดอย่างเหลือเชื่อ ที่ให้เด็กหญิงอยู่กินแต่งงานกับมนุษย์คนหนึ่ง โดยไม่ย้อนคืนสู่ภพเดิมของเธอ

         ส่วนคำวิจารณ์เจือปริศนาของราล์ฟแห่งคอกกีแชลที่ว่าเด็กหญิงเมื่อเติบโตรุ่นสาวเป็นผู้มี "พฤติกรรมฉาว คบผู้ชายไม่เลือก" มีนัยยะถึงสัญชาติญานดิบเถื่อนบางอย่างแบบภูตไพร? นอกจากนี้ในคติพื้นบ้านอังกฤษ สีเขียวยังมักเกี่ยวโยงกับปรโลกและอำนาจลี้ลับความชอบถั่วสีเขียวของเด็กจึงเป็นอีกข้อสังเกตที่ถูกนำมาผูกกับความเชื่อดังกล่าวเพราะเชื่อกันว่า ถั่วคืออาหารของคนตาย ในบางลัทธิของชาวโรมันจะมีเทศกาลประจำปีเรียกว่า เลอมูเรีย (Lemuria) ซึ่งใช้ถั่วเป็นเครื่องเซ่นเพื่อขับไล่ผีร้ายของคนตายออกจากบ้าน ในสมัยกรีก โรมัน และอียิปต์โบราณ รวมทั้งอังกฤษสมัยกลางมีความเชื่อคล้ายกันว่าในถั่วมีวิญญานผู้ตายสิงอยู่




         แม้เรื่องเล่าแห่งหมู่บ้านวูลพิตจะปรากฏอยู่ในแหล่งข้อมูลเมื่อ ศตวรรศที่12 แต่ก็ควรพึงระลึกว่าจดหมายเหตุในเวลานั้น นอกจากจะบันทึกเหตุการณ์ทางการเมืองและศาสนาแล้ว ยังมีอีกมากมายหลายกรณีที่ได้จดจำถึงเรื่องประหลาด ปาฏิหาริย์ และโชคชะตาราศี อันเป็นสิ่งที่คนสมัยนี้ส่วนใหญ่จะไม่ค่อยยอมรับ แต่เป็นความเชื่อกันอย่างกว้างขวางในสมัยนั้นแม้แต่ผู้มีการศึกษาทั้งชายและหญิง...ถ้าเช่นั้นวิญานประหลาดของเด็กผิวเขียวก็อาจเป็นสัญลักษณ์ของยุคสมัยแห่งความเปลี่ยนแปลงและขมขื่น ผสมผสานเข้ากับนิทานปรัมปราและคติความเชื่อท้องถิ่นเรื่องผีสาวนางไม้ ไปจนถึงชัวิตหลังความตาย
        
        ไม่ว่าความจริงจะเป็นเช่นไร เรื่องเล่าเด็กผิวเขียวยังคงเป็นหนึ่งในปริศนาลี้ลับที่สุดขององักฤษตลอดไป เว้นเสียแต่ว่าเชื้อสายของแอกเนส แบร์เร จะถูกสืบเสาระได้หรือค้นพบเอกสารหลักฐานอื่นๆเพิ่มเติมอีก...(แต่ยังไงซะเรื่องไหนที่ขึ้นชื่อว่าเป็นเรื่องลี้ลับติดอันดับ Top ten แล้วนั้น ต่อให้หาคำตอบได้ ยังไงเราก็ต้องสงสัยในคำตอนนั้นอยู่ดี จขกท.)

ตำนานลึกลับของพี่น้องเด็กผิวเขียวกลายเป็นสัญลักษณ์ประจำหมู่บ้านวูลพิตในยุคปัจจุบัน
Green children of Woolpit


© Copyright 2007 by Brian Haughton. All Rights Reserved. Original English language


Source ::Hidden History(ขุดตำนานคนนอกประวัติศาสตร์) by Brian Haughton//แปลโดย ประสิทธิ์  ตั้งมหาสถิตกุล
บทความภาษาอังกฤษ :: http://www.mysteriouspeople.com/Green-Children.htm



INFO: http://www.mythland.org/v3/thread-3322-1-1.html