วันพุธที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555
จิตวิทยา : ความสัมพันธ์ระหว่างอารมณ์และความจำ
หลาย ๆ คนคงมีความขุ่นข้องหมองใจ ในเวลาที่เรากำลังเผชิญกับปัญหาที่รุมล้อมเข้ามาอย่างไม่ขาดสาย “ทำไมเราถึงเกิดมารันทดยิ่งนัก ชีวิตจะไม่เจอเรื่องดี ๆ บ้างหรือไง” คงจะเป็นประโยคยอดฮิตสำหรับใครหลาย ๆ คน ผมจึงขอเสนองานทดลองเกี่ยวกับจิตวิทยาเรื่องหนึ่ง ให้ลองอ่านกันดู
ปกติการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับจิตวิทยานั้นมีมานานนับร้อย ๆ ปีแล้ว จนกระทั่งปี 1950 ได้มีการสนใจในเรื่องของสมอง คือเหล่านักวิชาการทั้งหลายแหล่ ได้ศึกษาลักษณะของความจำ ทั้งความจำระยะสั้น และความจำระยะยาว ว่าความจำทั้งสองแบบนี้ มีการจัดเก็บ และเรียกใช้ความจำนั้นได้อย่างไร รวมถึงวิธีการที่ความจำของเรานั้นจะถูกลืม และถูกบิดเบือนจากสมองเราด้วย!! แต่ก็ช่างมันเถอะครับ เพราะมันยังไม่ค่อยจะเกี่ยวกับหัวข้อนี้ซักเท่าไหร่ ฮาาาาาา…
และในปี 1970 จากการศึกษาทฤษฎีเกี่ยวกับความจำต่าง ๆ ก็เริ่มเข้าสู่การปฏิบัติมากขึ้น โดยมีนักจิตวิทยาเกิดความสงสัยว่า เพราะเหตุใดความจำบางส่วนจึงสามารถถูกเก็บและเรียกใช้ได้ดีกว่าความทรงจำอีกส่วนหนึ่ง ซึ่งหนึ่งในนักจิตวิทยาชื่อดังในยุคนั้น นามว่า กอร์ดอน โบเวอร์ ได้สังเกตเห็นว่า อารมณ์ของคนเรานั้นดูเหมือนจะส่งผลกระทบต่อความจำของเราด้วย
กอร์ดอนจึงได้นำความสนใจนี้มาศึกษาในคนกลุ่มหนึ่ง โดยให้จำรายการคำศัพท์ในช่วงที่มีอารมณ์แตกต่างกัน (โกรธ โมโห ตกหลุมรัก ฯลฯ) หลังจากนั้นก็ให้คนกลุ่มนี้นึกคำศัพท์ที่ให้จำในแต่ละอารมณ์เช่นกัน
จากนั้นเขาได้เปิดเผยงานศึกษาวิจัยของเขาซึ่งเรียกว่า “mood dependent retrieval” หรือแปลเป็นไทยว่า การฟื้นความจำที่ขึ้นอยู่กับอารมณ์ (แปลเอง) ซึ่งมีเนื้อหาหลัก ๆ คือ อะไรก็ตามที่เราได้รับรู้ หรือได้จำในขณะที่เรามีความทุกข์ เราจะนึกถึงมันได้อีกครั้ง เมื่อเราเกิดความทุกข์ซึ่งมีลักษณะคล้าย ๆ กัน งานวิจัยนี้จึงสรุปได้ว่า มีการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างสภาวะทางอารมณ์และสิ่งที่เกิดรอบ ๆ ตัวเรา ข้อมูลและอารมณ์เหล่านั้นจะมีความเชื่อมโยงกัน และถูกบรรจุไว้ด้วยกัน มันจึงเป็นเรื่องง่ายที่จะระลึกความจำที่เราเคยจำได้ในขณะที่เรามีอารมณ์เดียวกันในขณะนั้น
และกอร์ดอนยังค้นพบว่า อารมณ์ของเรานั้นมีส่วนในการจัดเก็บข้อมูลในสมองอีกด้วย คือ เขาสังเกตว่าในขณะที่เรากำลังมีความสุข เราก็มักจะนึกถึงแต่สิ่งที่ทำให้เรามีความสุข แต่ในทางกลับกัน เมื่อเรารู้สึกเศร้า สิ่งที่ทำให้เราหดหู่ใจ ก็จะทำให้เราพลอยนึกถึงแต่เรื่องไม่ดีที่เคยเกิดกับตัวเรา ซึ่งมีความเกี่ยวข้องหรือมีเรื่องที่คล้ายกับเหตุการณ์นั้นได้ง่ายขึ้น
เขาพบว่า คนที่มีความทุกข์ จะนึกถึงเรื่องแย่ ๆ ได้ดีกว่าคนที่มีความสุข เมื่อได้อ่านเรื่องเศร้า ๆ ซึ่งเขาเรียกว่า “mood-congruent processing” หรือเรียกว่า การประมวลผลที่สอดคล้องทางอารมณ์ (แปลเองอีกละ) และสรุปว่า ความจำเกี่ยวกับเหตุการณ์ในอดีตในแต่ละช่วง หรือเรียกว่า “Episodic Memory” (ซึ่งไม่ใช่ความจำเกี่ยวกับคำศัพท์ หรือความจำเกี่ยวกับข้อเท็จจริง) จะมีความเชื่อมโยงกันเป็นพิเศษในทางอารมณ์ เหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เราประสบมาจะถูกบรรจุอยู่ในความจำของเรา รวมทั้งอารมณ์ของเราในขณะนั้นด้วย เราจึงมักจะนึกเหตุการณ์ต่าง ๆ ได้เมื่อเรามีความรู้สึกนั้นเกิดขึ้นกับเราอีกครั้ง
หลายคนอาจจะยังมองไม่เห็นภาพ ผมจะขอยกตัวอย่างง่าย ๆ ที่คุณอาจจะไม่ได้ทันสังเกต นั่นก็คือ การที่เราฟังเพลงหรือ ดู MV ต่าง ๆ เรามักจะจำได้ว่า ในตอนที่เรากำลังฟังเพลงหรือดู MV นี้ เรากำลังทำอะไรอยู่ เพลงที่เราฟังนี้ เรากำลังคบกับใคร หรือว่าเราถูกใครหักอกมา หรืออาจจะเป็นเพลงที่เราฟังขณะกำลังนึงโปรเจคส่งอาจารย์อยู่ก็เป็นได้ เพราะว่าการที่เราฟังเพลงมักจะมีอารมณ์ร่วมกับเพลงอยู่เสมอ ๆ จริงมั้ยครับ?!
ดังนั้น เมื่อเราเข้าใจที่ไปที่มาของการฟื้นฟูความจำเหล่านี้ ก็อย่าไปคิดเลยคับว่าเราเกิดมาอาภัพ ไม่เคยคิดจะเกิดเรื่องดี ๆ ในชีวิตบ้างเลย ก็แน่ล่ะครับ ในขณะที่เราเศร้า เรื่องแย่ ๆ มันก็หลั่งไหลออกมาจากความทรงจำของเราเองโดยอัตโนมัติ สิ่งที่ทำได้คือ ปล่อยวาง ให้อารมณ์ของคุณมันผ่าน ๆ ไป ลอยไปกับสายลม และความผิดหวัง หรือหนักอกหนักใจ ก็อย่าไปถือมันไว้เลยครับ ถือไปก็หนักเปล่า ๆ อ้าาาาาาาาาส์ พูดแล้วมันช่างรันทดยิ่งนัก
INFO: http://www.joinstick.net/psychology/mood-and-memory.html